คุยกับผู้จัดการ สสส. (เดือนพฤษภาคม 2568)

สวัสดีครับเพื่อนร่วมสร้างสุขทุกคน

        “เมื่อไปเที่ยวต่างประเทศ จึงรู้ว่าประเทศไทยควบคุมการสูบบุหรี่ได้ดีมาก”

        เป็นคำที่ผมได้ยินจากอาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคนที่รู้จักหลายคนที่บอกว่า “หลายประเทศที่เดินทางไป ต้องคอยหลบควันบุหรี่ เหม็นจนแสบคอ” และแถมว่า “นั่นแหละคือ คุณประโยชน์ของภาคี สสส. และ สสส. ที่ร่วมกับหลายหน่วยงาน ขับเคลื่อนให้สังคมไทยควบคุมบุหรี่ได้ดี”

        แม้ว่าไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์บุหรี่ได้อย่างดี แต่กำลังถูกท้าทายเมื่อเจอกับบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการ disruption การสูบและเสพติด ทำให้สถานการณ์การสูบบุหรี่ของประเทศไทยที่กำลังลดลงอยู่อาจเสี่ยงที่จะกลายเป็นสงครามที่พ่ายแพ้ได้เมื่อเจอกับบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน

        แม้ว่า เมื่อดูข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่สำรวจการสูบบุหรี่ในปี 2567 พบว่า ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ลดลง จาก 21.2% ในปี 2550 เหลือ 16.5% ในปี 2567 จังหวัดที่มีการสูบบุหรี่สูงสุด 5 อันดับแรก คือ กระบี่, ตาก, นครศรีธรรมราช, ระนอง, กาฬสินธุ์ ผู้ชายสูบบุหรี่ 33.5% ผู้หญิงสูบบุหรี่ 1% โดยมีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า 1.5% ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป

         แต่เมื่อสำรวจแยกในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี ในปี 2566 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย สำรวจเยาวชนทั่วประเทศจำนวน 61,688 คน พบสูบบุหรี่ไฟฟ้า 25% คิดเป็น 1 ใน 4 ของเด็กเยาวชน

         ถามว่า “บุหรี่มวน” กับ “บุหรี่ไฟฟ้า” อะไรน่ากลัวกว่ากัน? อ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ให้ความเห็นว่า ชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าน่ากลัวกว่า เพราะเด็กอายุ 10 กว่าปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่กี่ปี ก็เกิดอาการป่วยแล้ว แต่เดิมถ้าเด็กสูบบุหรี่มวน กว่าจะเกิดโรคก็อายุ 30-40 ปี ซึ่งคือต้องสูบบุหรี่มวน 20-30 ปีจึงจะเกิดโรค

         ผมขอให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เป็นเพราะบุหรี่ไฟฟ้าสูบได้ง่าย ทุกเวลา สามารถดูดทุก 5-10 นาทีได้ โดยไม่ต้องจุดไฟดูดให้หมดมวน ไม่มีคนรู้ หรือเห็นเพราะใส่น้ำหอมทำให้ ควันไม่เหม็น และมีควันน้อย บุหรี่มวนมีควันจากการเผาไหม้ทำให้ระคายคอ สูบได้ไม่มาก แต่บุหรี่ไฟฟ้าสูบได้ตลอดทั้งวัน ทำให้ได้รับปริมาณนิโคตินมากกว่าบุหรี่มวน

         ด้วยรูปลักษณ์ที่ตั้งใจทำให้สวย เท่ เพื่อพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้า คือ เด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นเหยื่อรูปลักษณ์เหล่านี้ได้อย่างดี และยังเป็นกลุ่มที่เมื่อเสพติดแล้ว ยากที่จะยับยั้งชั่งใจ ทั้งหมดนี้ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน

         ในวันที่ 31 พ.ค. 2568 นี้ เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก ซึ่งมีคำขวัญปีนี้ว่า “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคตินเสพติด จน ตาย” จึงเป็นวันสำคัญที่ สสส. และภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ ทุกท่านจะต้องร่วมกันเร่งรณรงค์ให้ทุกคนรับรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า กลยุทธ์ของธุรกิจบุหรี่ที่จงใจ ตั้งใจจะให้เด็กเยาวชนตกเป็นทาสนิโคติน เพียงเพื่อให้ได้กำไรเข้าบริษัท โดยไม่สนใจสุขภาพของคนในสังคม

         ในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังแย่ ผู้คนเริ่มมีเงินในกระเป๋าน้อยลง และยังต้องระวังกับพายุเศรษฐกิจโลกจากภาษีทรัมป์ การประหยัดลดการใช้จ่าย โดยเฉพาะลดการบริโภคสินค้าทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า บุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับ กระเป๋าของเรา และสุขภาพของเรา จากข้อมูลรายจ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนไทยปี 2566 พบว่า ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปโภคบริโภคถึง 87% มีรายจ่ายสูงสุด คือ อาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ คิดเป็น 35.5% ถ้าประหยัดในส่วนเหล้า บุหรี่ น่าจะช่วยได้มาก

         ผมยังเชื่อว่า แม้ว่าสงครามบุหรี่ไฟฟ้านี้จะยากอย่างยิ่ง แต่เชื่อว่า ด้วยพลังของทุกภาคส่วนในสังคมไทย ถ้าเราช่วยกันจะทำให้สังคมไทยปลอดบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าได้ในที่สุด

Shares:
QR Code :
QR Code