10 เปลี่ยนที่ผู้ชายควรเปลี่ยนความคิด
เพื่อผู้หญิง
“ความรุนแรงต่อสตรี” ตามความหมายจากปฏิญญาสากลว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรี โดยองค์การสหประชาชาติ ระบุไว้ว่า ความรุนแรงต่อสตรี หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่เป็นความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่สตรี รวมทั้งการขู่เข็ญ คุกคาม กีดกันเสรีภาพ ทั้งในที่สาธารณะและในชีวิตส่วนตัว
สำหรับปีนี้วันยุติความรุนแรงสตรี ปี 2553 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2553 ที่เวียนมาบรรจบอีกครั้งเพื่อร่วมยุติความรุนแรงที่มีต่อสตรี จากข้อมูลของมูลนิธิเพื่อนหญิงระบุไว้ว่า ตัวอย่างรูปแบบของความรุนแรงต่อผู้หญิงนั้น ประกอบด้วย ความรุนแรงทางเพศ มีตั้งแต่การแทะโลมด้วยสายตาและวาจา การอนาจาร ลวนลาม คุกคามทางเพศ การข่มขืน (รวมถึงสามีข่มขืนภรรยาซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทยถือว่ามีความผิด) การรุมโทรม และการข่มขืนแล้วฆ่า
ความรุนแรงในครอบครัว มีตั้งแต่การแทะโลมด้วยสายตาและวาจา การอนาจาร ลวนลาม คุกคามทางเพศ การข่มขืน (รวมถึงสามีข่มขืนภรรยาซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทยถือว่ามีความผิด) การรุมโทรม และการข่มขืนแล้วฆ่า
ความรุนแรงในครอบครัว เป็นพฤติกรรมล่วงละเมิด บังคับ ขู่เข็ญ ทำร้ายคนในครอบครัว โดยมีผู้กระทำเป็นบุคคลในครอบครัว ซึ่งมีการกระทำความรุนแรงหลายรูปแบบ เช่น ใช้กำลังทำร้ายทุบตีภรรยา ทำร้ายจิตใจ เช่น การนอกใจภรรยา ด่าทอ ดูถูกเหยียดหยาม ทำให้อับอาย เศร้า เสียใจ มึนตึงไม่พูดด้วย ตลอดจนปิดกั้นโอกาสทางสังคม ไม่ให้ติดต่อกับเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือสังคมภายนอก รวมถึงการไม่รับผิดชอบครอบครัว ควบคุมทางการเงินเพื่อให้ต้องพึ่งพิงทางเศรษฐกิจจากอีกฝ่ายหนึ่ง มีการล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่างๆ เช่น การข่มขืนบังคับใจภรรยาให้มีเพศสัมพันธ์ การขายลูกสาว เป็นต้น
การนำเสนอผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ เป็นการที่ผู้หญิงถูกนำมาใช้เป็นสื่อในรูปแบบต่างๆ เช่น ในสื่อลามก การนำเสนอภาพลักษณ์ผู้หญิงส่อไปในทางเพศในการโฆษณาสินค้า
นอกจากนี้ การกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง ยังรวมถึงการล่อลวงมาบังคับค้าประเวณี การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การเลือกปฏิบัติทางด้านต่างๆ เช่น ทำให้ขาดโอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ รวมถึงการได้รับผลตอบแทนจากการทำงานต่ำกว่าผู้ชายเมื่อเปรียบเทียบกับงานในลักษณะเดียวกัน เป็นต้น
นายจะเด็จ เชาว์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า สถานการณ์การขอรับคำปรึกษาจากความรุนแรงของผู้หญิงและเด็กในศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กใน 10 ชุมชนพบว่า มีผู้ขอรับคำปรึกษา 1,500 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว โดยเป็นความรุนแรงทางในครอบครัว 70% ความรุนแรงทางเพศ 10% นอกนั้นเป็นเรื่องของการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมและอื่นๆ โดยความรุนแรงที่เกิดในครอบครัวจะเป็นเรื่องของทางจิตใจและทางกาย โดยทางจิตใจ จะเป็นเรื่องของสามีชอบว่ากล่าวภรรยา ใช้อำนาจในความเป็นผู้ชายที่คิดว่าเป็นผู้นำในบ้านออกคำสั่งผู้เป็นภรรยา หรือสามีขาดความรับผิดชอบในครอบครัว ดื่มเหล้า ไม่ดูแลลูก ส่วนทางกายนั้นชัดเจนอยู่แล้วคือการทุบตีทำร้ายร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าเหตุเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนทำให้ขาดสติ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น ยาเสพติด ติดพนัน เป็นต้น แต่ปัจจัยหลักของการก่อเหตุนั้นคือความคิดของผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือผู้หญิง
“อย่างการดื่มเหล้า ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบคิดว่าหากไม่กินเหล้าก็ไม่แมน ดังนั้นก็เลยเข้าใจไปว่าจะต้องไปกินเหล้า ยิ่งเมื่อกินเหล้า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันก็ชัดเจนขึ้น และปัญหาที่เกิดขึ้นก็เห็นได้เกือบทุกอาชีพ ทุกระดับการศึกษา เพราะที่ผ่านมาก็พบว่าคนที่เรียนจบปริญญาตรีโทรศัพท์เข้ามาปรึกษาปัญหากับเราก็มีมาก ไม่ว่าจะในตัวเมืองหรือต่างจังหวัดก็พอๆ กัน” นายจะเด็จ กล่าว
ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง บอกอีกว่า ความจริงแล้วเหตุความรุนแรงทางเพศนั้นมีอยู่มาก เพียงแต่ผู้หญิงที่ประสบปัญหามักไม่กล้าเข้าร้องเรียน เพราะความอาย หรือเพราะกลัวถูกข่มขู่จากผู้บังคับบัญชา เป็นต้น ซึ่งต่างกับความรุนแรงที่เกิดจากครอบครัวที่มีกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นกลไกหนึ่งที่รองรับ ประกอบกับการมีศูนย์พึ่งได้ตามโรงพยาบาลต่างๆ และหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือในเรื่องเหล่านี้จำนวนมาก ทำให้มีผู้ที่จะกล้าเข้าร้องเรียนและสถิติเพิ่มตาม ขณะที่กลุ่มที่ได้รับความรุนแรงทางเพศนั้น ยังไม่มีกฎหมายที่มารองรับที่ชัดเจน ดังนั้นหากมีกลไกในส่วนนี้เข้ามาเป็นตัวช่วยเสริม เชื่อว่าน่าจะทำให้ผู้หญิงกล้าที่จะออกมาเรียกร้องมากขึ้น
ส่วนเรื่องของการแก้ไข นายจะเด็จ เห็นว่า สิ่งสำคัญคือความคิดของผู้ชาย ที่จะต้องเปลี่ยนความคิดเรื่องความเป็นใหญ่ของผู้ชาย ให้การยอมรับเกียรติของผู้หญิงเป็นสำคัญ ขณะที่ตัวสื่อเองก็ควรมีการปฏิรูปสื่อในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากจะเห็นการที่ผู้ชายตบตีฝ่ายหญิงผ่านสื่อเป็นประจำ หากเปลี่ยนเป็นการนำเสนอให้เห็นว่าผู้ชายให้การดูแลผู้หญิง ให้เกียรติ คอยช่วยเหลือผู้หญิงบ้าง เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีกับเด็กก็จะเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนี้ควรมีการปรับหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการที่สอนให้ผู้ชายเห็นว่าผู้ชายและผู้หญิงมีบทบาทที่ไม่ต่างกัน ไม่ใช่ผู้ชายจะต้องเป็นผู้นำผู้หญิงเพียงอย่างเดียว
นายจะเด็จ ยังได้นำเสนอ 10 ประเด็น ที่ผู้ชายควรเปลี่ยนความคิดไว้ว่า เปลี่ยนแรก จากเคยคิดว่า การดื่มเหล้า เป็นวิถีของลูกผู้ชาย เป็นลด ละ เลิกเหล้า หันกลับมารักตัวเอง รักครอบครัว ดูแลรับผิดชอบครอบครัว เปลี่ยนที่สอง จากที่คิดว่า ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นใหญ่ในบ้าน เป็นเปิดรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ผู้ชายเป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตาม เปลี่ยนความคิดที่สาม จากเคยเห็นว่า งานบ้านเป็นงานของผู้หญิง ให้ถือว่าเป็นงานของครอบครัว ควรช่วยกันทำ เปลี่ยนที่สี่ จากเคยคิดว่า ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องน่ายกย่อง เป็นรักเดียวใจเดียว เห็นว่าการมีหญิงอื่น เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยา ทำให้ครอบครัวแตกแยก เปลี่ยนที่ห้า เปลี่ยนจากความคิดว่า ภรรยาเป็นสมบัติของสามี เป็นให้เกียรติ ไม่ดุด่า ทำร้าย ทุบตี บังคับหลับนอน
ส่วนเปลี่ยนที่หก ให้เปลี่ยนความคิด จากที่เคยคิดว่า การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแม่ เป็นพ่อก็เลี้ยงลูกได้ และต้องเข้ามามีส่วนในการช่วยเลี้ยงดูลูกด้วย เปลี่ยนที่เจ็ด คือ จากที่เห็นว่า ผู้ชายมีความสามารถมากกว่าผู้หญิง เป็นยอมรับว่า ผู้หญิงก็มีความสามารถไม่น้อยกว่าผู้ชาย ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ เปลี่ยนที่แปด ผู้ชายควรเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้หญิง แม้ว่ามีโอกาสก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์กันต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจ เปลี่ยนความคิดที่เก้า คือ ความรุนแรงที่เกิดกับผู้หญิง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เมื่อพบเห็นไม่ควรเพิกเฉย เพราะถือเป็นหน้าที่ต้องแจ้งเหตุหรือช่วยเหลือ เช่น แจ้ง 1300 ศูนย์ประชาบดี เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เกียรติ ไม่ทำร้ายผู้หญิง ไม่เสพสื่อลามก และสิ่งมึนเมา ประเด็นสุดท้าย เปลี่ยนจากที่เคยคิดว่า การคุมกำเนิดเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเป็นการคุมกำเนิดถือเป็นหน้าที่ทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
โทรศัพท์เบอร์ฉุกเฉิน
แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย |
191, 0-2246-1338-42 |
ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เยาวชน และสตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ |
1192 |
กองปราบปราม |
1195, 0-2513-1725, 0-2513-8444, |
กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน |
0-2512-2678 |
และสตรี (ปดส.) |
|
ศูนย์นเรนทร |
1669 |
ศูนย์ประชาบดี |
1300 |
ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี กองบัญชาการ |
0-2282-3892-3, 0-2282-9348 |
ที่มา : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th
Update : 25-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร