“หม่อมอุ๋ย”แนะรัฐบาลเร่งใช้เงินอปท.กระตุ้นศก.
จี้สร้างงานปั่นราคาสินค้าเกษตรดีกว่าให้เงิน
แนะจำนำข้าวไม่ได้ผล กดราคา-กระทบรายได้เกษตรกร เน้นพัฒนาชนบทเข้มแข็ง ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว อาศัยบริโภคในประเทศแทนการส่งออกนอกประเทศ
(22 ม.ค.) การแสดงปาฐกถา 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 1และการอภิปราย 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 1 ในหัวข้อเรื่อง “ประเทศไทยกับการพัฒนาตามกระแสโลกาภิวัตน์”และแถลงข่าวการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปีเนื่องในวาระครบรอบ 60 ปีของคณเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ และการระดมทุนเข้ากองทุน 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ณ ห้องบรรยาย ศ.101 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จะต้องเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้กำลังการผลิตให้มากขึ้น หรือใช้วัตถุดิบในประเทศให้เกิดประสิทธิภาพทางการผลิต รวมถึงดำเนินการแก้ไขจุดอ่อนและระมัดระวังจุดที่จะกระทบความเป็นอยู่ของสังคมเป็นพิเศษ ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 10 ซึ่งจะสิ้นสุดปี 2553 จะเน้นการพัฒนาชนบท เพื่อให้มีบทบาทและเข้มแข็ง เพื่อเปลี่ยนให้เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจที่อาศัยการบริโภคในประเทศเป็นหลัก แทนการอาศัยการส่งออกเป็นหลักเหมือนในปัจจุบัน
“การเพิ่มรายได้ให้ชนบทไม่ควรเป็นการแจกเงินเป็นครั้งคราว เหมือนนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลดำเนินการ แต่ควรเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำมาหากิน ซึ่งมีหลายแนวทาง เช่น การสร้างอาชีพนอกฤดูกาล หรือการเพาะปลูกนอกฤดูกาล เพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้มากขึ้น การให้เงินช่วยเหลือ 2,000 บาท หากเทียบกับสหรัฐที่ส่งเช็คถึงบ้านแต่ละคน จะเห็นว่าสามารถกระตุ้นการบริโภคได้จริง แต่เพียงช่วงให้เงินเท่านั้น โดยจะเห็นว่าช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนปีที่แล้ว การบริโภคขยายตัว 2% แต่เดือนกรกฎาคม ก็ติดลบเหมือนเดิม เป็นการให้ครั้งเดียวจบ และกระตุ้นได้ครั้งคราวเท่านั้น ไม่ต่อเนื่องเหมือนการจ้างงาน” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวต่อว่า การสะสมสต๊อคข้าวที่สูงถึง 6 ล้านตัน ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ถือเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดตลอด เพราะการมีสต๊อคจำนวนมาก ทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อออกไป เพราะเชื่อว่าเมื่อสต๊อคมากจะกดดันให้ราคาลดต่ำลง สะท้อนว่าคนทำนโยบายในการรับจำนำข้าวไม่เข้าใจ จึงควรจะใช้ราคาตลาดเป็นเป้าหมายในการดูแลไม่ให้ราคาลดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจนกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ไม่ใช่ใช้ราคารับจำนำเป็นเป้าหมายในการดูแล ปีที่ผ่านมายังถือว่าเป็นการดำเนินนโยบายข้าวที่ผิดที่ไม่ขายออกมาในช่วงที่ราคาสูง แต่กลับไปรับจำนำข้าวนาปรังในราคาที่สูงเกิน จึงเกิดการสะสมสต๊อคมาก กดดันราคาลง และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร
สำหรับตลาดเงินและตลาดทุนนั้น ปีที่ผ่านมาจะเห็นชัดเจนว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยผันผวนตามแรงซื้อขายของต่างชาติ หลังจากเกิดวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐและทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในที่สุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยถูกละเลยให้ต่างชาติมาครอบงำมากเกินไป โดยสัดส่วนที่ผ่านมามีถึง 40% ของมูลค่าตลาดรวม และปัจจุบันแม้ว่าจะลดลง แต่ก็ยังสูงถึง 30% จึงจะเห็นว่า ราคาหลักทรัพย์ลดลงมากกว่า 50% ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาดี และการที่ผู้บริหารสถาบันการเงินไทยยังระมัดระวังการลงทุนกลับเป็นผลดีมากกว่า เพราะมีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่ไม่สูงนัก ทำให้ตลาดการเงินไทยไม่ได้รับความสูญเสียมากนัก แต่มีข้อมูลไม่ยืนยันว่า มีตราสารอนุพันธ์ในสหรัฐอเมริกาเหลืออยู่ 140 เท่าของจีดีพี และอาจจะสูงถึง 20 เท่า ที่จะสร้างปัญหาในสหรัฐต่อไป
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยน ยังจำเป็นที่จะให้ ธปท.แทรกแซงดูแล เนื่องจากตลาดการเงินของไทยมีขนาดเล็ก ขณะที่ผู้เล่นในตลาดการเงินโลกมหาศาล อาจจะถึง 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น หากผู้เล่นเหล่านี้ทำรายการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน 1-2 รายการ ก็ชักนำค่าเงินได้ง่ายๆ ดังนั้น การ ธปท.มีมาตรการในการดูแล ทำให้ความเสี่ยงต่อสินค้าการเงินไม่น่าห่วง
“สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาล่าสุดดีกว่าชุดแรกที่ออกมา เพราะมีเรื่องการสร้างงาน และส่วนใหญ่เป็นเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะกระตุ้นกำลังซื้อได้มากขึ้นได้ รวมถึงการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ก็น่าจะกระตุ้นการท่องเที่ยว เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ ถือว่าเป็นมาตรการที่กระตุ้นความต้องการซื้อในประเทศได้เหมาะสมอย่างไรก็ตาม ต้องการให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณกระตุ้นการจ้างงานให้มากขึ้น เพราะถือว่าน้อยเกินไป โดยงบประมาณกลางปีกว่า 1 แสนล้านบาทนั้น ที่จริงครึ่งหนึ่งควรใช้เพื่อการจ้างงานมากกว่า เพราะเป็นเรื่องจำเป็นและยังทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องในวงกว้างกว่าและกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
เรื่องโดย : นางสาว มณีรัตณ แช่มมณี team content www.thaihealth.or.th
update: 27-01-52
