คุยกับผู้จัดการ สสส. (เดือนสิงหาคม 2566)

56สวัสดีครับเพื่อนร่วมสร้างสุขทุกคน

              วันเข้าพรรษาของปีที่ย่างกรายมาถึง เตือนให้หวนระลึกถึงจุดเริ่มต้นของสองทศวรรษแห่งงานขับเคลื่อนเพื่อลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย ที่ค่อย ๆ เข้าไปแทรกซึมในกระแสสังคมและวิถีชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ สวนกับกระแสการตลาดและฤทธิ์ของสารเสพติดยอดนิยมในสังคมมายาวนาน

              ตั้งแต่จุดเริ่ม ตลอดมาจนยี่สิบปี ได้ย้ำให้เห็นความสำคัญของพื้นที่ทางสังคม วัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมและค่านิยมของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะความหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคม ที่อาจเป็น “ความสุขที่ดื่มได้” “สัญลักษณ์ของมิตรภาพ”“การเติบโตสู่การเป็นผู้ใหญ่ การเป็นลูกผู้ชาย” “ความบันเทิงของเทศกาล” “สุนทรียะ และรสนิยมของกลิ่นและรส” “เครื่องมือลืมโลก ดับทุกข์โศก” และอีกหลากหลายที่ถูกจัดวางในสังคม

              ขณะที่ข้อเท็จจริงของผลกระทบทางลบต่อ 60 กว่าโรคทางสุขภาพ การเกิดอุบัติภัย ความรุนแรงในครอบครัวและสังคมจากความมึนเมา มีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมนานัปการ ไม่ค่อยจะมีพื้นที่ให้สังคมชั่งน้ำหนักถ่วงดุลกับการตลาดที่เปิดให้เร้าผู้คนอย่างเสรีแทบไม่ต่างจากเครื่องดื่มธรรมดานักในช่วงยี่สิบปีก่อน

              พลังจากศีลข้อห้าของพุทธศาสนาก็อ่อนล้า เป็นเพียงบทเอาไว้อาราธนาโดยไม่ค่อยมีใครเห็นว่าต้องมาเคร่งครัดอะไรด้วยนักเช่นเดียวกับศีลข้ออื่น ๆ ขณะที่วัดไทยถูกสำรวจพบว่า เป็นสถานที่ดื่มเหล้าเป็นลำดับต้น ๆ ของชุมชน

              แม้จะไม่มั่นใจต่อการเริ่มต้นแคมเปญ “งดเหล้าเข้าพรรษา” ในปี 2546 นัก แต่ผลการรณรงค์ได้ชี้ให้ประจักษ์ว่า รากประเพณีเก่าแก่นี้ ยังฝังอยู่ในสังคมไทย และถูกปลุกให้งอกงามขนึ้ มาได้ในยุคสมยั ใหม่ การรณรงค์ถูกประเมินทางนิเทศศาสตร์ในปีต่อมาว่าเริ่มเป็น “แบรนด์” หนึ่งในสังคมไทย ได้รับความสนใจจากประชาชน หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมรณรงค์ ลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง สืบเนื่องไปถึงนำพานักดื่มจำนวนไม่น้อยให้สามารถเลิกดื่มได้อย่างถาวร

              สิ่งสำคัญคือ งานรณรงค์ได้สื่อสารออกไปในวงกว้าง ทั้งประโยชน์ในการงดดื่ม โทษจากการดื่ม ผลเสียต่าง ๆ ถูกบอกเล่าเรื่องราวออกไปอย่างต่อเนื่อง “เข้าพรรษา” จึงกลายเป็นจุดเริ่มให้สามารถทำงานต่อเนื่องไปถึงบริบทอื่น ๆ ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปีได้ด้วย เช่น งานบุญ งานศพปลอดเหล้า ประเพณีเทศกาลอย่างสงกรานต์ ที่นำไปสู่การมีพื้นที่ให้ครอบครัว “เล่นน้ำปลอดเหล้าปลอดภัย” ทุกอำเภอทั่วประเทศ เทศกาลปีใหม่ที่ลดการให้เหล้าเป็นของขวัญและมีการสวดมนต์ข้ามปีประชันกับการเคาท์ดาวน์แบบดั้งเดิม ไปจนถึงการรับน้องปลอดเหล้า ในสถานศึกษาที่ลดระดับลงไปมาก เป็นต้น

              การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในสองทศวรรษนี้คือ อัตราการดื่มหนักของคนไทยที่เคยเพิ่มขึ้นสูงมาตลอด ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากปี 2557 หรือ 10 ปีที่ผ่านมามีคนดื่มอยู่ที่ 13.9% ลดลงในปี 2560 เหลือ 11.9% และในปี 2564 เหลือ 10.0%

              เฉพาะในช่วงเข้าพรรษา ปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้งดเหล้าเข้าพรรษาตลอดพรรษาถึง 17.8% บางส่วนงดบางเวลา และลดปริมาณการดื่มลง รวมแล้วมีผู้เข้าร่วมถึง 9.3 ล้านคน ประหยัดค่าใช้จ่ายต่อหัว 1,543 บาท หรือร่วม 5 พันกว่าล้านบาท และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการดื่มได้มากถึง 57 หมื่นล้านบาท

              แน่นอนว่ามาตรการต่าง ๆ เมื่อทำมาเป็นเวลาหนึ่ง อาจจะเผชิญความท้าทายจากบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบว่า อัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักดื่มหน้าใหม่ใน “ผู้หญิง” สูงกว่า “ผู้ชาย” เป็นปีแรก เป็นสัญญาณที่เตือนถึงการขยายตัวมาสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ของคนรุ่นใหม่ ที่ย่อมต้องการความเข้าใจถึงวิถีทางสังคม วัฒนธรรมหรือการเมืองที่แปรเปลี่ยนไปที่นักสร้างเสริมสุขภาพไม่เพียงต้องเรียนรู้คำตอบใหม่ ๆ ของโจทย์ใหม่เหล่านี้ แต่ยังต้องชักชวนคนรุ่นใหม่ กลุ่มใหม่เข้ามาร่วมขบวนด้วยโลกทัศน์ใหม่ ๆ ด้วย

              มาร่วมเรียนรู้ และร่วมสร้างสังคมสุขภาวะในบริบทของปัจจุบันและอนาคตร่วมกันนะครับ

Shares:
QR Code :
QR Code