เตือน “มือเท้าปาก” ส่อระบาดหนักปีนี้

4 เดือนแรกป่วย 6 พัน – เด็กเสี่ยงสุด

 

เตือน “มือเท้าปาก” ส่อระบาดหนักปีนี้ 

   

       สธ.เตือน โรคมือเท้าปากส่งสัญญาณไม่ได้ส่อระบาดหนัก เผย 4 เดือนแรกปีนี้ พบป่วยแล้ว 6,083 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ภาคกลาง-ใต้ ป่วยสูงสุด สั่ง สสจ.เฝ้าระวังด่วน คุมเข้มร.ร.อนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก สวนสนุก ห้างเป็นพิเศษ

      

       นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ในช่วงการเปิดภาคเรียนและสภาพอากาศกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูฝน โรคมือเท้าปาก (hand foot mouth disease) จะพบมากในช่วงนี้ กลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เด็กอนุบาล เด็กเล็ก เนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทานโรค ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังสถานการณ์โรครอบ 4 เดือนแรกในปี 2553 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย.ทั่วประเทศพบผู้ป่วยแล้ว 6,083 คน เกือบร้อยละ 90 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยในภาคกลางและภาคใต้ พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 1 ปี และ 3 ปี ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมากในเด็กอายุ 2 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 ที่มีผู้ป่วยทั้งปีรวม 6,823 คน เสียชีวิต 3 คน ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์โรคมือเท้าปากในปีนี้มีสัญญาณอาจระบาดได้ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ เร่งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ให้ความรู้ความเข้าใจประชาชนในการช่วยกันป้องกันโรค ดูแลลูกหลานไม่ให้ป่วย โดยเฉพาะโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็กที่ดูแลเด็กจำนวนมาก สวนสนุกตามห้างสรรพสินค้า ต้องขอความร่วมมือให้ระมัดระวังความสะอาดทั้งสถานที่ เครื่องใช้ และของเล่นเด็กเป็นพิเศษ

      

       นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคมือเท้าปาก เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอนเทอโรไวรัส (enterovirus) เป็นไวรัสเจริญในลำไส้ พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้งเด็กทารกแรกเกิดอายุไม่ถึง 1 เดือน เชื้อนี้ติดต่อได้ 3 ทาง ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับเชื้อเข้าสู่ปากโดยตรง ติดจากการสัมผัสของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย และจากการไอจามรดกัน โดยเชื้อจะแพร่ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ทั้งนี้หลังติดเชื้อ 3-6 วัน จะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1-2 วัน มีอาการเจ็บปาก กลืนน้ำลายไม่ได้ มีตุ่มแดงขึ้นที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ทำให้เด็กไม่ยอมกินอาหาร และพบตุ่ม หรือผื่นนูนสีแดงมักไม่คันขึ้นที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้น หัวเข่า ด้วย ตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใสและแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ โดยทั่วไปโรคมักไม่รุนแรง และไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่ควรพาเด็กเล็กที่ป่วยไปพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการ อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติได้ภายใน 7-10 วัน แต่มีเชื้อเอนเทอโรไวรัสบางชนิด เช่น ชนิด 71 อาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ จึงควรดูแลเด็กใกล้ชิด หากพบมีไข้สูง ซึม หรือร้องโยเยมาก ไม่กินอาหารหรือไม่ดื่มนมเลย ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเกิดสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งจะทำให้เด็กเสียชีวิตได้

      

       โรคมือเท้าปากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัย ความสะอาดสถานที่ เครื่องใช้ต่างๆ ผู้ปกครองควรสอนลูกหลานและผู้ดูแลเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ก่อนรับประทานอาหาร ภายหลังขับถ่ายและหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม ตัดเล็บให้สั้นเพื่อไม่ให้เชื้อโรคสะสมในเล็บ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ขวดนม แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดมือ ปฏิบัติทั้งเด็กปกติและเด็กป่วยให้ติดเป็นนิสัยอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ astvผู้จัดการ

 

 

update:24-05-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code