องค์ความรู้เรื่องวันสตรีสากล
สังคมตะวันตกในอดีต ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน แม้ประเทศตะวันตกหลายประเทศจะกล่าวอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยมานับร้อยปีก็ตาม ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสิทธิของบุรุษกับสิทธิของสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษ 1900 สตรียังไม่มีสิทธิเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำไป (สตรีอเมริกันมีสิทธิเลือกตั้งใน ค.ศ. 1920 หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศอิสรภาพจากอังกฤษเป็นเวลาถึง 144 ปี)
ใน ค.ศ. 1907 มีการเดินขบวนประท้วงในเมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีการกดขี่และเอารัดเอาเปรียบแรงงานสตรีในโรงงานทอผ้า โดยให้ทำงานถึงวันละ 12-15 ชั่วโมงและจ่ายค่าแรงต่ำมาก การเดินขบวนประท้วงครั้งสำคัญ คือ การประท้วงในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1907 มีการเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานจาก 12-15 ชั่วโมง เหลือเพียง 8 ชั่วโมงต่อวัน ให้ปรับปรุงสวัสดิการแรงงาน รวมไปถึงเรียกร้องสิทธิการเลือกตั้งของสตรีด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้รัฐบาลได้จับกุมผู้ประท้วงหลายร้อยคน และในปีเดียวกันในยุโรป คลารา เซทคิน (Clara Zetkin) นักสังคมนิยมสตรีชาวเยอรมัน ได้ผลักดันให้จัดการประชุมนักสังคมนิยมสตรีนานาชาติครั้งที่ 1 ขึ้นที่เมืองชตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมนี เพื่อผนึกกำลังนักสังคมนิยมสตรีในยุโรปและวางแนวทางการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของสตรี
อีก 3 ปีต่อมา ในวันที่ 26-27 สิงหาคม ค.ศ. 1910 มีการประชุมนักสังคมนิยมสตรีนานาชาติครั้งที่ 2 ขึ้นที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ที่ประชุมมีมติให้กำหนดเวลาทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จ่ายค่าแรงที่เป็นธรรม และกำหนดสวัสดิการให้แก่แรงงานสตรีและแรงงานเด็ก รวมทั้งยังได้กำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็น “วันสตรีสากล” ด้วย มตินี้ยังได้รับการสนับสนุนจากองค์การคอมมิวนิสต์สากลที่ 2 ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 8 ที่กรุงโคเปนเฮเกนปีเดียวกันด้วย.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
เรื่องโดย : ปิยรัตน์ อินทร์อ่อน