รู้ไว้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา
ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะวิธีบอกเลิกสัญญา เมื่อเห็นว่าบริการไม่คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปจึงอยากจะเลิกบริการขอเงินคืน
บริการสปาและบริการฟิตเนส นับเป็นหนึ่งในบริการด้านสุขภาพและความงามที่มีผู้บริโภคทยอยเข้ามาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ข้อร้องเรียนส่วนใหญ่จะมีในลักษณะการหลงเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกใช้บริการเพราะทนคำรบเร้าของสาวพนักงานไม่ได้ แต่เมื่อเข้าไปใช้บริการแล้วพบว่าการบริการไม่เป็นไปตามที่สาวนักขายโฆษณาไว้ อยากจะบอกเลิกสัญญาขอเงินที่จ่ายผ่านทางบัตรเครดิตคืน ก็ขอคืนไม่ได้เพราะสัญญาที่ไปเซ็นต์ไว้มีข้อผูกมัดที่จะไม่คืนเงินให้กับผู้บริโภคในทุกๆกรณี
“ดิฉันซื้อคอร์สมา 30,000 บาทเมื่อ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา” ผู้บริโภครายหนึ่งได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ประสบมาจากการใช้บริการสปาแห่งหนึ่ง
“ตอนนั้นจำได้ว่ารีบมากจะต้องไปธุระต่อ แต่พนักงานขายคะยั้นคะยอบวกกับความเกรงใจและหวังว่าจะเห็นผลเพราะราคาไม่ใช่ถูกๆ คอร์สจริงเซลล์อ้างว่า 70,000 บาท แต่ลดลงมาเหลือ 45,000 บาท แต่ดิฉันจ่ายไม่ไหวเซลล์เลยลดให้เหลือ 30,000 บาท”
“กลับมาบ้านสมองก็ตึงๆ ไปเหมือนกัน เพราะราคาสูงมาก ไม่รู้ตกลงไปได้ยังไง ดิฉันชำระผ่านบัตรเครดิตค่ะ 3000×10 เดือน ตอนนั้นยังไม่เอะใจกับคำว่า “ไม่คืนเงินทุกกรณี” ถ้าสติดีกว่านี้ ตอนนั้นคงยกเลิกไปทันทีที่พนักงานให้เซ็นต์เอกสาร”
พอผู้บริโภครายนี้เข้าไปใช้บริการก็พบว่ามีการให้บริการที่ผิดไปจากเงื่อนไขที่พนักงานเสนอขาย
“จากการที่ไปใช้บริการ 1 ครั้ง การบริการไม่เหมือนคอร์ส 30,000 บาทเลยค่ะ ผิดหวังกับการบริการมาก แถมตอนขายคอร์สบอกจำนวนที่ใช้บริการประมาณ 15 ครั้ง แต่สอบถามเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ตกใจมากที่หดเหลือ 10 ครั้ง แถมอีก 1”
ผู้บริโภคอีกรายร้องเรียนมาว่า สปาไม่มีบริการพอกตัวมีแต่นวดตัว และไม่มีอ่างน้ำวนบริการ ทั้งๆ ที่ตอนที่พนักงานสาวเสนอขายบอกว่ามีบริการทั้งหมด แต่พอถึงเวลาไปใช้บอกว่ากำลังติดตั้งอ่างน้ำยังไม่เสร็จ
ปัญหาส่วนใหญ่ที่ร้องเรียนเข้ามาก็คือ ใช้บริการไปได้เพียงแค่ครั้ง 2 ครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าบริการไม่คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปจึงอยากจะเลิกบริการขอเงินคืน แต่บริษัทไม่ยอมให้ โดยอ้างสัญญาว่าจะไม่มีการคืนเงินในทุกกรณี
คำถามสำคัญของคุณผู้หญิงที่หลงเข้าไปสมัครใช้บริการคือ ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขอเงินคืนได้หรือไม่ ขอตอบว่าได้ครับ หากพบว่าทางสปาไม่จัดให้มีบริการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นข้อสำคัญในสัญญาหรือโฆษณาก็ให้ใช้เป็นเหตุผลในการบอกเลิกสัญญาได้เลยครับ อย่าไปใช้เหตุผลว่าไม่อยากเล่นแล้วแบบนี้โดนตามทวงหนี้หัวหงอกแน่ เพราะกลายเป็นว่าเราเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง
วิธีบอกเลิกสัญญาอย่าไปใช้วิธีโทรศัพท์หรือเดินไปบอกด้วยตัวเองอย่างเดียวครับ ต้องทำเป็นจดหมายบอกเลิกสัญญาส่งไปที่กรรมการผู้จัดการบริษัท และให้สำเนาจดหมายนี้ส่งไปที่บริษัทบัตรเครดิตที่จ่ายเงินแทนด้วย เพื่อให้ระงับการเรียกเก็บเงิน
จดหมายที่ส่งไปทั้งสองที่ให้ส่งเป็นจดหมายแบบไปรษณีย์ตอบรับเท่านั้น จะได้มีหลักฐานไว้ยันกันในภายหลังครับ หากต้องเป็นคดีความกัน
วิธีการแก้ไขปัญหาสัญญาจำพวกผูกมัดไม่ให้เลิกใช้บริการแบบนี้ ใช้ได้กับบริการพวกฟิตเนสหรือบริการที่มีการเรียกเก็บเงินล่วงหน้าผ่านบัตรเครดิตได้เช่นกัน
หัวใจสำคัญของการบอกเลิกสัญญา ก็คือต้องไม่ใช้ข้ออ้างที่เป็นข้อบกพร่องของตัวผู้บริโภคเอง เช่น ไม่ว่าง หรือหลงเข้าทำสัญญาแบบไม่ตั้งใจ อย่างนี้ฟังไม่ขึ้นและจะเป็นฝ่ายผิดสัญญาได้ จะต้องใช้เหตุผลซึ่งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงว่าบริษัทผู้ให้บริการผิดสัญญาไม่จัดให้มีบริการที่เป็นเรื่องสำคัญอะไรบ้างให้ว่าไป
เอาล่ะครับ รู้วิธีแล้วก็รีบหยิบกระดาษและปากกา ปฏิบัติการคุ้มครองตัวเองกันได้เลย
ที่มา : ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค