จิตแพทย์แนะเคล็ดลับรับมือกับความเครียด
จิตแพทย์เผยปัญหาเศรษฐกิจ การว่างงานเป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง ทำคนไทยเครียดรั้งท้ายด้วยภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้า บวกกับความอ่อนแอของครอบครัวไทย ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข พร้อมแนะวิธีรับมือกับความเครียดด้วยการสร้างสมดุลให้ครอบครัวและงาน
นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์และกรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ความเครียดของคนไทย ในปี 2555 ยังคงมีสูง โดยมีปัจจัยที่เป็นสาเหตุหลัก 4 ประการ คือปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากอุทกภัย โรงงานปิดกิจการ การจ้างงานลดลง คนว่างงานเพิ่มขึ้น ตามมาด้วย ปัจจัยทางด้านสังคม เช่น ปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจ ที่เมื่อคนมีปัญหาการเงินก็จะมีโอกาสทำเรื่องผิดกฎหมายมากขึ้นซึ่งทำให้ผู้คนอีกส่วนหนึ่งมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินปัจจัยเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองก็ยังคงติดอันดับสาเหตุความเครียด และสุดท้ายถือเป็นปัจจัยใหม่ คือ เรื่องของภัยธรรมชาติ ซึ่งมีผลกระทบในวงกว้างเนื่องจากความไม่แน่นอน ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ทำให้คนจำนวนมากเกิดความกังวลไม่กล้าใช้ชีวิต หรือเตรียมการไม่ถูกว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร แค่ไหน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอันเนื่องมาจากสถาบันครอบครัวที่อ่อนแอลง สิ่งยั่วยุไปในทางที่เสียมีมากขึ้น รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยียุคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งในกรณีที่เกิดผลเสียหาย จากข้อมูลที่เป็นเท็จ คลาดเคลื่อน บิดเบือนจะเกิดผลกระทบได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าในอดีต รวมทั้งการควบคุมสถานการณ์ก็ทำได้ยากกว่า
สำหรับแนวทางในการรับมือกับปัจจัยเสี่ยงต่อความเครียดต่างๆ นั้น นพ.ไกรสิทธิ์ ระบุว่า จะต้องมีการเร่งฝึกทักษะในการดูแลจิตใจของตัวเอง ซึ่งนับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนยุคปัจจุบันมากกว่าคนรุ่นก่อน เพราะคนรุ่นปัจจุบันต้องอยู่กับความกดดันและความไม่แน่นอนที่สูงกว่าเดิม และเป็นที่ทราบกันดีว่าความเครียดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางกายได้ทุกรูปแบบ ทั้งโรคหัวใจความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะ มะเร็งต่างๆส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่าที่ควร
“คนไทยควรจะต้องหันมาดูแลเอาใจใส่ภาพรวมการดำเนินชีวิตของตนเอง โดยจะต้องจัดสมดุล 3 ด้านหลักของชีวิตให้ได้ นั่นคือ งาน ครอบครัวและชีวิตส่วนตัว ชีวิตทั้งสามด้านเป็นเรื่องพื้นฐานที่แต่ละคนต้องประสบ โดยแต่ละด้านก็ต้องการเวลา ความเอาใจใส่การที่ไม่สามารถจัดการให้เกิดสมดุลได้จะก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาต่างๆตามมามากมาย คือถ้าตัวเราล้ม ครอบครัวก็เสียไปด้วย มันกระทบถึงกันหมดเช่น บางคนเป็นนักธุรกิจดีเด่น ได้รางวัลมากมาย แต่ครอบครัวล้มเหลว พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง หรือธุรกิจสำเร็จ กำไรสูงสุดในประเทศ แต่ตัวเองป่วย โรคเยอะ เราจะเรียกแบบนี้ว่าเป็นคนประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือกรณีที่ดูแลแต่สุขภาพตัวเอง อย่างอื่นไม่เอาเลยทำธุรกิจก็โกงคนอื่น ไม่รับผิดชอบครอบครัวไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย สร้างปัญหาเยอะแยะไปหมด อย่างนี้ก็เป็นชีวิตที่ขาดสมดุล”
สำหรับเทคนิคในการฝึกสร้างสมดุลให้ชีวิตนั้น นอกจากใช้เวลาคิดทบทวนภาพรวมในชีวิตตนเองแล้ว ควรมีการกำหนดเป้าหมายคร่าวๆ ในแต่ละด้าน เช่น เรื่องงานเอาแค่ไหนดี เรื่องครอบครัวเอาแค่ไหนดี เรื่องส่วนตัวเอาแค่ไหนดี ซึ่งคำตอบของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะให้ความสำคัญเรื่องอะไร มากน้อยแค่ไหน โดยหมั่นเตือนตัวเองอยู่เป็นระยะๆ ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นในชีวิต และพยายามลดความอยากได้อยากมีลงบ้าง ก็จะสามารถเฉลี่ยเวลาสำหรับองค์ประกอบทั้งสามส่วนได้ลงตัวเหมาะสม
สิ่งที่เป็นข้อจำกัดแล้วทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความเครียด ก็คือเรื่องของเวลา เพราะเวลาเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด วันหนึ่งๆ ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเหมือนกัน หลายคนบ่นว่าไม่มีเวลาให้ครอบครัว แต่ถ้าได้ทดลองลดเป้าหมายในแต่ละด้านลง ตัดส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออกไป จะพบว่าสามารถสร้างความสมดุลในชีวิตได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การดำเนินการไปสู่เป้าหมาย ทุกคนควรต้องเตรียมใจไว้ว่า สิ่งต่างๆ อาจจะไม่เป็นไปตามแผนร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจมีผิดหวังบ้าง เสียใจบ้าง ท้อใจบ้าง ข้อสำคัญขอให้ทุกคนไม่เสียความเชื่อมั่นสามารถลุกขึ้นมีแรงเดินต่อไปให้ได้ ก็เหมือนเด็กหัดเดิน ที่ล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่ท้อถอย พยายามใหม่ ในที่สุดก็เดินได้บางคนเดินได้ช้า บางคนเดินได้เร็วแต่ก็สำเร็จได้ในที่สุด”
นอกจากการฝึกสร้างสมดุลในชีวิตแล้ว การสร้างครอบครัวให้อบอุ่น ด้วยการให้ความสำคัญต่อกัน ก็เป็นสิ่งจำเป็นซึ่ง นพ.ไกรสิทธิ์ ได้ให้แนวปฏิบัติในชีวิตประจำวันสำหรับทุกครอบครัวว่าควรมี 4 ให้ อยู่เสมอคือ การให้เวลา สมาชิกในครอบครัวควรมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อส่งเสริมความแน่นแฟ้นในครอบครัวให้เข้มแข็ง อันจะเป็นพื้นฐานให้ทุกคนฝ่าปัญหาในชีวิตได้สำเร็จ การให้คำชื่นชม คำชื่นชมจากคนในครอบครัวจะทำให้สมาชิกครอบครัวรู้สึกว่ามีฉันในบ้านนี้ ฉันมีค่า ทำให้เกิดความสุขใจ อบอุ่นใจ มีความมั่นคงทางจิตใจ การให้อภัย เรื่องนี้สำคัญเพราะถ้าทำได้ก็จะเป็นผลบวกทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าทำไม่ได้ก็จะเป็นผลลบทั้ง 2 ฝ่ายทุกคนควรฝึกการโกรธให้ยากขึ้น ให้อภัยให้ง่ายขึ้น ทุกคนจะมีความสุขง่ายขึ้น มีความทุกข์ยากขึ้น สุดท้าย การให้กำลังใจทุกชีวิตต้องเผชิญอุปสรรค แต่ถ้ามีคนเข้าใจและให้กำลังใจก็จะมีแรงต่อสู้ปัญหานั้นๆ ได้ คำพูดสั้นๆ เช่น ไม่เป็นไร เอาใหม่ ลองอีกที ฉันเชื่อมั่นว่าเธอทำได้สามารถทำให้คนที่หมดกำลังใจลุกขึ้นมาเดินหน้าต่อได้
ทั้งนี้ หากมีความกังวลหรือความเครียด การได้ปรึกษากับจิตแพทย์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดี ซึ่งผู้สนใจขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลมนารมย์ มีบริการสายด่วนสุขภาพจิต โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อได้ที่โทร.02-7259555 หรือทำแบบทดสอบความเครียดได้ที่ www.manarom.com
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า