PGS วิถีอินทรีย์แบบสัญญาใจ
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
มีใครเคยได้ยิน เรื่องราว "ผักคนละแปลง" กันบ้างไหมเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ผู้ผลิตบางรายที่เลือกใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงเกินมาตรฐานในการทำเกษตรเพื่อให้ผักออกมาสวยงามโดนใจคนซื้อแต่ขณะเดียวกัน ตัวคนปลูกกลับไม่ยอมกินผักที่ตนเองปลูกขาย กลับมีผักแปลงข้างๆ ที่ไม่ใส่ยาไม่ฉีดสารเคมีเก็บไว้เพื่อบริโภคเอง
หากเรื่องเล่าสุดโจ๊กเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริง หลายคนคงอาจขำไม่ออกเพราะนี่คือสัญญาณที่กำลังสะท้อนว่าชีวิตผู้บริโภคอย่างเราๆ กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงมากแค่ไหน
ปัจจุบันคนทั่วโลกกำลังกังวลต่อ "ความปลอดภัย" ของอาหารมากขึ้น ซึ่งความกังวลดังกล่าว ทำให้วันนี้หลายคนหันมาให้ความใส่ใจอาหารปลอดภัยเพื่อสุขภาพมากขึ้น จะเห็นได้จากปัจจุบันมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่หันมาอุดหนุดสินค้าจากผู้ผลิตกลุ่มทางเลือกภายใต้กระบวนการผลิตที่เรียกว่า "เกษตรอินทรีย์"
หลายคนมองว่าการบริโภคสินค้าที่ติดป้ายเกษตรอินทรีย์ เป็นเครื่องหมายของความไว้วางใจถึงมาตรฐานอาหารปลอดภัยระดับหนึ่ง
แต่รู้หรือไม่ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่การผลิตอาหารอินทรีย์ไม่ถึง 1% ของพื้นที่เกษตรกรทั้งหมด เรียกว่าแค่เฉพาะดีมานด์ของผู้บริโภคไทยทั้งประเทศก็อาจดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่วันนี้หลายฝ่ายพยายามขับเคลื่อน จึงเป็นการส่งเสริมชักชวนให้เกษตรกรหันมาเป็นแนวร่วมก้าวสู่วิถีการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้น
แต่งานส่งเสริมที่จะทำให้คนคิดว่า "ผักสำหรับกินและผักสำหรับปลูกขายควรเป็นแปลงเดียวกัน" จะได้ผลดียิ่ง ควรต้องเกิดจาก "จิตสำนึก" ของคนปลูกเป็นหัวใจสำคัญ และต้องเริ่มจากการให้คนปลูกมีส่วนร่วม
ในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ เราจึงได้ยินเรื่องราวของ Participatory Guarantee System (PGS) หรือกระบวนการพัฒนาอาหารอินทรีย์แบบชุมชนมีส่วนร่วม กำลังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เข้ามามีบทบาท ในการส่งเสริมเกษตรกรไทยหันมาสู่วิถีการเกษตรปลอดภัย ที่จะสร้างค่านิยมและพันธะสัญญาทางใจให้กับเกษตรกร ได้ตระหนักถึงบทบาทคุณค่าตนเอง ซึ่งนำไปสู่หนทางอินทรีย์ที่ยั่งยืนกว่า
รู้จัก PGS
วิฑูรย์ ปัญญากุล ประธานมูลนิธิสายใยแผ่นดิน (กรีนเนท) เอ่ยว่า แนวทางการพัฒนาอาหารอินทรีย์แบบส่วนร่วมที่เรียกว่า PGS กำลังเป็นอีกทางเลือกของการสร้างห่วงโซ่การทำการเกษตรอินทรีย์เช่นเดียวกับเครื่องมือหรือมาตรฐานรับรองอื่นๆ สำหรับเกษตรกร ที่คอยดูแลตั้งแต่ปัจจัยการผลิต กระบวนการให้องค์ความรู้การรับรองมาตรฐาน
"จุดเด่นสำหรับ PGS ทำให้เกษตรกรมีโอกาสได้คุยกันเยอะขึ้น เป็นกระบวนการที่ให้น้ำหนักกับการสุมหัวคุยกัน การรวมกลุ่มทำให้พวกเขามีความภูมิใจในสิ่งที่ทำ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้แหละเป็นแรงผลักดันการพัฒนามาตรฐานมากขึ้นด้วยตัวของเขาเอง"
ระบบชุมชนรับรองนี้ริเริ่มขึ้นโดยสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ ที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) กับหน่วยงานระหว่างประเทศและองค์การท้องถิ่นอีกหลายแห่งซึ่งต่างเห็นร่วมว่า ระบบการตรวจสอบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระจากภายนอกนั้น อาจมีความซับซ้อนของระเบียบข้อกำหนดมากเกินไป และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่เหมาะกับเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์เพื่อขายในท้องถิ่น ด้วยต้องมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทำให้เกษตรกรจึงไม่ให้ความสำคัญในการพัฒนามาตรฐานมากนัก
"เลมอนฟาร์ม" เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้ดำเนินโครงการพัฒนาและสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และตลาดที่รองรับผลผลิตโดยไม่ผ่านคนกลาง โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเลมอนฟาร์มมีการนำกระบวนการระบบชุมชนรับรอง PGS มาใช้กับพื้นที่เครือข่ายทั้ง 11 แห่งของตนเอง สุวรรณา หลั่งน้ำสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสังคมสุขภาพ (เลมอนฟาร์ม) เล่าว่า วิธีการนี้ช่วยให้เกษตรกรและเลมอนฟาร์มมีพื้นที่ดีๆ ในการผลักดันงานด้านนี้ โดยแม้ว่า PGS ไม่ใช่มาตรฐานกำกับ แต่เป็นเรื่องของวิธีที่จะทำให้เกษตรกรเกิดการพัฒนาอย่างสูงมาก เป็นเครื่องมือที่เกษตรกรจะบังคับใจตัวเอง ว่าฉันสัญญาจะทำแบบนี้ก็ต้องทำ ซึ่งพลังที่ได้แตกต่างจากการให้คนอื่นมาบังคับ
"เขามีความตั้งใจ ซึ่ง PGS เป็นโอกาสเป็นตัวนำทางที่ทำให้เกษตรกรก้าวสู่เกษตรอินทรีย์ เพราะรากฐานของมันคือกระบวนการเป็นความซื่อตรง ความไว้ใจและปราถนาดีต่อกัน ต่อโลกและคนกิน เห็นคนกินเป็นญาติเรา ยกตัวเองเครือข่ายเรามีชาวเขากลุ่มหนึ่ง เขาบอกว่าเขาไม่ได้สัญญากับเรานะ เขาสัญญากับพระเจ้าของเขา มันเป็นการเอาสัญญาใจออกมา ไม่ใช่เรื่องหาเงินทองอย่างเดียว แต่เขาอยากทำเพราะชุมชนฉันดีขึ้นลูกหลานชั้นกลับบ้าน หลายคนทำเกษตรอินทรีย์เพื่อให้ลูกหลานกลับบ้านไม่ต้องไปทำงานในเมือง"
ชฤทธิพร เม้งเกร็ด ผู้จัดการสามพรานโมเดล ผู้ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ใน จ.นครปฐม 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ โครงการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ระบบอาหารเพื่อสุขภาพประชาชน ของสสส. เล่าว่า ตอนแรกที่สามพรานเริ่มโครงการปัญหาที่พบคือได้คนที่มาทำเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อยมาก จึงลองหันมาขับเคลื่อนด้วยกระบวนการ PGS
"ระบบการรับรองแบบนี้มันมีเสน่ห์คือเป็นการกำหนดร่วมกัน ไม่ใช่แค่สามพรานโมเดลเซียนแล้วไปโยนให้เขา แต่ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มต้องมีส่วนร่วม ช่วยกันพัฒนา ตามสิ่งที่เขาพูด มันเหมือนให้คำสัตย์ปฏิญาณระบบนี้เขาเป็นเจ้าของ เขาจะพัฒนาลดทอนและเรียนรู้เขาเอง ซึ่งยอมรับว่าตอนแรกที่ฟังดูเราก็มองนะว่าเป็นระบบที่รับรองกันเอง ก็สามารถฮั้วกันได้หรือเปล่า แต่พอเราเรียนรู้และใช้มันด้วยตัวเอง มีการพัฒนาระบบจากประสบการณ์กลายเป็นว่ายิ่งใช้ยิ่งเกิดความเชื่อมั่น"
ด้าน ดร.สุทธิศักดิ์ แก้วแกมจันทร์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรอินทรีย์ มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ตรวจแปลงของ PGS และผลักดันแนวคิดการทำเกษตรอินทรีย์ โดยใช้ PGS เป็นเครื่องมือในพื้นที่สุรินทร์
"มันเริ่มจากเราอยากให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ราคาไม่แพง ซึ่งผู้บริโภคมักมีคำถามว่าทำไมสินค้าเกษตรอินทรีย์ถึงแพง นั่นเพราะเกษตรกรเขามีค่าใช้จ่ายสำหรับการต้องพัฒนาให้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ ทำให้เรามองเห็นว่าการรับรองมาตรฐานโดยการมีส่วนร่วมของรายกลุ่มจะช่วยให้เกษตรกรรายย่อยรวมกลุ่มโดยใช้มาตรฐานตรงนี้ได้"
กุศล บุญไทย แกนนำเกษตรกร จากสภาเกษตรกรจันทบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีการร่วมออกแบบระบบ PGS กันเอง เอ่ยว่า "จริงๆ ในจังหวัดจันทบุรีมีคนทำเกษตรอินทรีย์เยอะมาก แต่ก็หาตัวไม่ได้ แต่พอมาทำ PGS ทุกคนมองว่ามันคือทางรอดของเกษตรกรไทยที่ทำเกษตรอินทรีย์ เรานำกฎระเบียบ 15 ข้อที่ตั้งมาไปเป็นเกณฑ์ ใครรู้ไม่มาพอไปเรียนรู้ใหม่ มาพัฒนาสวนเองใช้ความเชื่อใจ ใครทำจริงไม่ทำดูได้จากเวลาลูกค้ามาถามเขาตอบได้"
ณนคร ลิมปคุปตถาวร ผู้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้เกษตรในเมือง ตัวแทนฝั่งผู้บริโภคที่เห็นประโยชน์จากระบบ PGS โดยได้นำมาใช้กับการรับรองมีส่วนร่วมมาทำงานกับผู้บริโภคและสร้างระบบอาหารคนเมือง
"จากด้านผู้บริโภค เราพบว่าคนเมืองมีความต้องการเข้าถึงอาหารที่ดี และสิ่งที่เขาต้องการคือความไว้วางใจ เราจึงคิดว่านำพีจีเอสมาใช้ ทำให้ผู้บริโภคตั้งทางเลือกของตัวเอง ซึ่งหลังเราทำมาได้เกือบสองปี มีผลต่อผู้บริโภค เขาไว้ใจคนที่ทำ ถามว่าเขารู้จักกระบวนการ PGS ไหม เขาอาจไม่รู้จักแต่เขารู้ว่าเขาไว้ใจผู้ผลิตคนนี้ได้"
อรุษ นวราช เลขานุการมูลนิธิสังคมสุขใจ เสริมว่า สามพรานโมเดลเป็นโมเดลที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภครู้จักผู้ผลิตบนพื้นฐานความเป็นธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
"สามพรานโมเดลจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มี สสส.ให้ความเชื่อมั่นตั้งแต่เริ่มแรกเราคงไม่มาไกลถึงวันนี้"