9 วิธีการดูแลเมื่อลูกเกิดความเครียด
สำหรับผู้ใหญ่แล้ว ช่วงเวลาที่เป็นเด็กก็เหมือนช่วงพักร้อนตลอดปีที่อยากทำอะไรก็ทำได้ค่ะ แต่สำหรับเด็กเอง การเป็นเด็กก็มีความเครียดแบบเด็กอยู่เหมือนกัน ทั้งโรงเรียนและเพื่อนบางครั้งก็กลายเป็นแรงกดดันให้เด็กๆ ได่ ดังนั้นหากเราเป็นพ่อแม่ หน้าที่ของเราคือต้องป้องกันลูกๆ จากความเครียดแต่ไม่ใช่แค่จากการพาลูกออกจากสถานการณ์ที่เครียดเท่านั้น การช่วยให้ลูกสามารถแก้ปัญหาความเครียดของตัวเองได้อย่างเหมาะสมจะเป็นวิธี แก้ปัญหาในระยะยาวที่ดีกว่า
แม้เด็กจะไม่พูดเรื่องปัญหาหนักอกที่อยู่ในใจออกมาแต่ก็ยังต้องการ ให้พ่อแม่เข้ามาถามไถ่และช่วยพวกเขาจากปัญหาที่ทำให้เครียด อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อแม่ที่จะรู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อลูก เกิดความเครียดขึ้นมา ลองทำตามวิธีการเหล่านี้ดูนะคะ
1.ถามลูก –ถ้าพ่อแม่สังเกตเห็นว่าลูกรู้สึกเครียดกังวลในเรื่องใดให้เข้าไปถามเลยค่ะ ถ้าเป็นไปได้อาจจะลองยกตัวอย่างความรู้สึกที่คิดว่าเด็กน่าจะรู้สึกเช่น เดียวกัน เช่น “ยังโกรธเรื่องที่ทะเลาะกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่นเมื่อวานหรือเปล่า” ไม่ควรพูดเหมือนกล่าวหาหรือต่อว่าและแสดงความไม่พอใจออกไป เช่น “ไหนว่ามาซิ ตกลงมันเรื่องอะไร โกรธเรื่องอะไรอยู่หา” ควรแค่เปรยๆ เหมือนสนใจและอยากฟังปัญหาของเขา ตอนฟังให้เข้าใจว่าเขาเครียดเรื่องนั้นจริงๆ แสดงความเป็นห่วงและอยากเข้าใจความรู้สึกของเขาด้วยนะคะ
2.ฟังลูก –เมื่อบอกให้ลูกเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้ฟังแล้วเราก็ต้องตั้งใจฟังอย่างสงบ ค่ะ ฟังอย่างตั้งใจ, สนใจ, อดทน, เปิดใจให้กว้าง, และแสดงความห่วงใย หลีกเลี่ยงการด่วนตัดสินว่าถูกผิด, ตำหนิ, สอนสั่ง, หรือบอกว่าไม่น่าทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ ขั้นตอนการฟังมีวัตถุประสงค์แค่ให้ลูกรู้ (และรู้สึก) ว่ามีใครสักคนรับฟังเขา พยายามใช้คำถามง่ายๆ เช่น “เหรอ แล้วเป็นยังไงต่อ” และใช้เวลากับเขาเยอะๆ ค่ะ
3.สรุปความรู้สึกของลูกเป็นประโยคสั้นๆ –เช่นอาจจะพูดว่า “หนูคงรู้สึกเซ็งเลยใช่มั้ย”, “ไม่แปลกหรอกที่หนูจะโมโหที่เพื่อนไม่ยอมให้เราเข้าไปเล่นด้วย”, หรือ “ฟังดูไม่ค่อยยุติธรรมเลยนะ” การพูดสรุปความรู้สึกเป็นการแสดงให้ลูกเห็นว่าเราเข้าใจ ตั้งใจฟัง และอยากช่วยเหลือจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้จำเป็นมากในช่วงที่เครียดกังวล
4.ให้คำจำกัดความ –เด็กหลายคนไม่รู้ว่าควรใช้คำใดมาอธิบายความรู้สึกของตัวเอง ถ้าเห็นว่าลูกโกรธและหงุดหงิด ลองพูดคำนั้นเพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะสำรวจอารมณ์ตัวเองได้ในอนาคต การสอนให้พูดความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้จะช่วยให้เขาสื่อสารและรู้เท่าทัน อารมณ์ของตนเอง เด็กที่สามารถพูดความรู้สึกได้ดีมีแนวโน้มที่จะไม่ระเบิดอารมณ์หรือแสดง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมาเมื่อโกรธจัด
5.ให้ลูกพิจารณาว่าควรทำอย่างไรต่อไป –ถ้าความเครียดมีต้นเหตุชัดเจน ลองคุยกับลูกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี พยายามกระตุ้นให้เขาคิดหาทางออกสักสองทางโดยเราอาจช่วยคิดด้วยถ้าจำเป็นแต่ ให้ลูกลองพยายามดูก่อนนะคะ การฝึกคิดเช่นนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้เขาได้ในอนาคต ยิ่งถ้าเขามีความคิดดีๆ ให้ชื่นชมและสนับสนุนเต็มที่ อาจลองถามเพื่อให้เขาใช้ความคิด เช่น “แล้วเราจะเริ่มทำอะไรก่อนดีล่ะ แล้วต้องทำยังไงอีกเหรอ”
6.ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง –ในบางครั้งแค่ได้คุยกัน รับฟัง และเข้าใจความรู้สึก ก็เพียงพอที่จะลดความเครียดกังวลของลูกได้แล้วค่ะ เมื่อความเครียดลดลงแล้วเราต้องเปลี่ยนประเด็นจากเรื่องเครียดๆ เป็นเรื่องอื่นที่ฟังแล้วสบายใจผ่อนคลายมากขึ้น พยายามช่วยลูกคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้สึกดีขึ้น คิดในทางที่ดีมากขึ้น ถึงเวลานี้ต้องคิดไปข้างหน้าและไม่ดึงเอาปัญหาเดิมให้กลับมากวนใจอีกค่ะ
7.จัดการต้นเหตุความเครียด –ถ้าเหตุการณ์แบบนี้ทำให้เกิดความเครียดบ่อยๆ ลองหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์นี้ดูค่ะ เช่น ถ้าหลังเลิกเรียนมีเรียนพิเศษหรือกิจกรรมที่ต้องทำมากเกินไปจนเครียดกังวล เพราะทำการบ้านไม่ทัน เราอาจต้องงดกิจกรรมหลังเลิกเรียนบางอย่างเพื่อให้ลูกมีเวลาพอที่จะทำ การบ้านให้เสร็จ
8.พ่อแม่ยังอยู่เคียงข้างเสมอ – ไม่ใช่ทุกครั้งที่ลูกอยากเล่าปัญหาหรือความไม่สบายใจให้ฟังทุกเรื่องค่ะ บางเรื่องก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่อย่างน้อยพ่อแม่ควรบอกให้ลูกรับรู้ว่า เรายังอยู่ใกล้ๆ และพร้อมเสมอที่จะรับฟังเขา เด็กๆ มักไม่อยากให้พ่อแม้ปล่อยเขาไว้คนเดียวแม้ว่าเขาไม่บอกความต้องการออกมาตรงๆ ดังนั้นแค่อยู่ใกล้ๆ ก็เพียงพอแล้ว ไปทำธุระหรือใช้เวลาอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องพูดก็ได้ค่ะ ดังนั้นถ้าเราสังเกตได้ว่าลูกรู้สึกเครียด ดูเงียบเฉยไป หรือรู้สึกไม่ดีจากอะไรสักอย่างแต่เขาไม่อยากพูดออกมา ให้ลองเข้าไปหาและใช้เวลาทำอะไรสักอย่างร่วมกันนะคะ เช่น ไปเดินเล่น, ดูหนัง, หรือทำขนมด้วยกัน
9.อดทน –สำหรับพ่อแม่แล้ว การเห็นลูกเครียดกังวลหรือไม่มีความสุขเป็นเรื่องที่เจ็บปวดจริงๆ ค่ะแต่บางครั้งเราจะเข้าไปวุ่นวายกับบางปัญหามากนักก็ไม่ได้ ดังนั้นลองอดทนไม่เข้าไปจู้จี้ในทุกเรื่อง แทนที่จะมุ่งประเด็นไปที่ตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาให้ลองเปลี่ยนไปมุ่งเป้า ที่วิธีการช่วยลูกดีกว่า ค่อยๆ ทำอย่างช้าๆ และมั่นใจโดยเป้าหมายคือให้เขาเติบโตขึ้นเป็นคนที่แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองใน อนาคต เด็กที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้ควรเข้าใจได้ว่าชีวิตมีทั้งช่วงที่ดี และไม่ดี, ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นคำพูดได้, สงบจิตสงบใจได้เมื่อถึงเวลา, และลุกขึ้นยืนหยัดแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดอีกครั้ง แม้พ่อแม่จะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกไปตลอดชีวิตไม่ได้แต่สอนให้เขารู้จักแก้ปัญหา
ที่มา : เว็บไซด์ความรู้สร้างเสริมสุขภาพ