4 อำเภอต้นแบบ แก้ปัญหาบุหรี่ระดับชุมชน
“เหม็นบุหรี่จัง…” “ทำไมไม่ไปสูบไกลๆ เนี่ย…” ปัญหาที่หลายคนคงเคยประสบพบเจอไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะในสถานที่สาธารณะ ชุมชนต่างๆ แม้จะมีกฎหมายห้ามปราม แต่ทว่าพฤติกรรมคนก็ยังเป็นเรื่องยากเกินควบคุม
ปีนี้องค์การอนามัยโลก กำหนดคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลกวันที่ 31 พฤษภาคม ว่า”the who framework convention on tobacco control” หรือ “พิทักษ์สิทธิตามกฎหมาย มุ่งสู่สังคมไทยปลอดบุหรี่”
รณรงค์ให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาควบคุมการบริโภคยาสูบ โดยข้อตกลงหนึ่งที่สำคัญคือ การมีมาตรการปกป้องประชาชนจากการได้รับควันบุหรี่ การเตือนภัยประชาชนถึงอันตรายของการบริโภคยาสูบ รวมไปถึงมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ติดบุหรี่นั่นเอง
ดังนั้น แนวทางที่ดีที่สุดในการดำเนินการควรเริ่มจากประชาชน คนในท้องถิ่นในการตระหนักและเห็นพิษภัยของบุหรี่
“ควันบุหรี่ นับเป็นปัญหาสุขภาพทั้งผู้สูบ และคนรอบข้าง โดยก่อให้เกิดมะเร็งปอด มีพิษต่อหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพองจากพิษภัยดังกล่าวคงไม่เพียงพอที่จะสร้างความตระหนักเพียงสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องร่วมกันรณรงค์ในระดับชุมชนโดยรวม” ถ้อยคำของ ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึงแนวทางในการลดปัญหาพิษภัยจากควันบุหรี่
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มูลนิธิได้ดำเนินโครงการโรงพยาบาลปลอดบุหรี่มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อรณรงค์การลดและเลิกสูบบุหรี่ โดยเริ่มจากโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ และขยายไปยังผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ซึ่งได้ดำเนินการจนถึงปัจจุบัน มีโรงพยาบาลเข้าร่วมแล้ว 268 แห่ง
จากประสบการณ์ดังกล่าว จึงเห็นว่าการรณรงค์เพียงแค่โรงพยาบาลอาจไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ควรขยายไปยังสถานที่อื่นๆ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนด้วย
ล่าสุดมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จึงได้จัดทำโครงการนำร่องบูรณาการ 4 องค์กรใน 4 ภูมิภาคขึ้นครั้งแรก โดยได้ดึงองค์กร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนจำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลระดับจังหวัด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(สถานีอนามัย) โรงเรียน และสถานีตำรวจ จัดเป็นเครือข่ายร่วมกันในการมีกิจกรรมรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในระดับปฐมภูมิขึ้น
โดยได้คัดเลือกภูมิภาคที่มีความพร้อมในการดำเนินการ จังหวัดละ 1 อำเภอ ประกอบไปด้วยอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ทั้งนี้ ได้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานประมาณ 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม2553-กันยายน 2554 โดยมูลนิธิจะทำหน้าที่เข้าไปช่วยในการอบรม ให้คำปรึกษาถึงแนวทางการลด ละ เลิกบุหรี่ รวมทั้ง การรณรงค์สร้างกระแสสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ฯลฯ
พร้อมตั้งคณะทำงานดำเนินการด้านบุหรี่และสุขภาพร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลสถานีอนามัย โรงเรียน และสถานีตำรวจโดยจะดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ทั้งการจัดสภาพแวดล้อมให้แต่ละพื้นที่เป็นเขตปลอดบุหรี่
ขณะเดียวกันแต่ละองค์กรก็จะสำรวจจำนวนบุคลากร หรือนักเรียน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สูบบุหรี่ และวางระบบร่วมกันในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ในการเลิกสูบ จัดระบบบริการเพื่อให้ความรู้และพัฒนาเด็กและเยาวชนและครอบครัวเกี่ยวกับพิษภัยของควันบุหรี่ และวิธีเลิกสูบโดยอาสาสมัครเป็นต้นแบบ เป็นต้น
“หลังจากเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมา เบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากเริ่มเห็นว่า มีผู้ให้ความสนใจในการเลิกสูบบุหรี่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สถานีอนามัย หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เด็กนักเรียนก็เริ่มใส่ใจถึงพิษภัยของบุหรี่ เห็นได้จากการจัดกิจกรรมรณรงค์ตามโรงเรียนต่างๆ ทั้งหมดถือเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งหากผลการดำเนินการเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าจะมีการขยายไปยังอำเภอต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่กล่าวทิ้งท้าย
นับเป็นสัญญาณที่ดีของการทำงานในระดับปฐมภูมิทีเดียว….
เรื่องโดย: วารุณี สิทธิรังสรรค์
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน