22 ล้านคนไทย ‘ป่วย’ จาก ‘ติดเค็ม’
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
คนไทยป่วยจากติดเค็ม 22.05 ล้านคน 4 โรคหลัก ตาย 2 หมื่นต่อปี สูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 98,900 ล้านต่อปี อย.ออกประกาศคุมค่าโซเดียมสูงสุดไม่เกิน 2,000 มก. เล็งหารือคุมอาหารนำเข้า WHO ระบุลงทุนมาตรการลดเค็มได้ผลคืนกลับ 12 เท่า วิจัยไทยพบแนวทางให้ภาคอุตฯปรับสูตรอาหาร ลงทุนน้อยช่วยได้กว่า 3.2 หมื่นชีวิต
ในการประชุมความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนมาตรการลดโซเดียมในประเทศไทย ภายในการประชุมรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล จัดโดยองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เครือข่ายลดการบริโภคเค็ม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) วานนี้ (29 ม.ค.) นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดเค็ม 22.05 ล้านคน แยกเป็น โรคความดันโลหิตสูง 13.2 ล้านคน คิดเป็น 23.5% โรคหลอดเลือดสมอง 0.5 ล้านคน หรือ 1.1 % โรคหัวใจขาดเลือด 0.75 ล้านคน หรือ 1.4% และโรคไต 7.6 ล้านคน หรือ 17.5 %
โดยแต่ละปี คนไทยล้างไตเพิ่มขึ้นถึง 20,000 คน หรือเพิ่ม 15% ต่อปี นอกจากนี้ การบริโภคโซเดียมที่เกินความต้องการ ทำให้คนไทยเสียชีวิตถึงปีละกว่า 20,000 คน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากพฤติกรรมติดเค็มถึง 98,976 ล้านบาทต่อปี
"คนไทย 1 ใน 3 ทานอาหารปรุงในบ้าน อีก 1 ใน 3 กินอาหารสตรีทฟู้ด ร้านอาหาร และ 1 ใน 3 กินอาหารสำเร็จรูป ที่มีขายในร้านสะดวกซื้อ และมากกว่า 90% ของครัวเรือน บริโภคบะหมี่สำเร็จรูป โดยมีการบริโภคถึงวันละ 8 ล้านซอง ซึ่งมาตรการลดบริโภคเค็ม นอกจากการให้ความรู้เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชนแล้ว การกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมลงก็จำเป็น"
"หนึ่งในมาตรการที่จะใช้กระตุ้นที่สำคัญคือ การใช้มาตรการทางภาษีและราคา ซึ่งจุดประสงค์ไม่ได้หวังรายได้เข้ารัฐ แต่ต้องการให้คนไทยกินเค็มน้อยลง และราคาถูก โดยอาหารที่มีความเค็มน้อย ก็ไม่ต้องเสียภาษี เมื่อปรับสูตรแล้ว ต้นทุนก็จะลด ราคาขายก็จะลดลงด้วย ส่วนอาหารที่มีความเค็มสูงก็เก็บภาษีมาก เป็นการปกป้องประชาชนให้ลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง จะช่วยลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ที่ต้องจ่ายไปในการรักษาพยาบาล"
นพ.สุรศักดิ์ ระบุด้วยว่า มีความจำเป็นต้องกำหนดปริมาณโซเดียมในอาหารที่นำเข้าด้วย เนื่องจากมีข้อมูลว่าอาหารนำเข้าบางชนิด มีปริมาณโซเดียมสูง อย่างเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ของไทยมีโซเดียมเฉลี่ยราว 1,500-2,000 มิลลิกรัม (มก.) ต่อซอง ซึ่งนับว่าสูงแล้ว แต่ของเกาหลีมีถึง 7,000 มก.ต่อซอง เป็นต้น
นายแดเนียล เคอร์เทส ผู้แทนองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประจำประเทศไทย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำปริมาณโซเดียมที่ร่างกายควรได้รับ ต้องไม่เกิน 2,000 มก.หรือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เนื่องจากการบริโภคโซเดียมที่มากเกินไป นำไปสู่ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และยังทำให้เกิดโรคไต กระดูกเปราะ และมะเร็งกระเพาะอาหาร
ซึ่งการลดบริโภคเกลือ หรือโซเดียม ไม่เพียงแต่เป็นกลยุทธ์ที่ดี ในการพัฒนาสุขภาพประชาชน แต่ยังให้ผลตอบแทนในการลงทุนถึง 12 เท่า เพราะทุก 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในการลดโซเดียม จะได้ผลตอบแทนคืนกลับ คิดเป็น 12 ดอลลาร์
ด้าน น.ส.พเยาว์ ผ่อนสุข นักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพ และความคุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์ ของมาตรการลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย โดยใช้กรอบมาตรการ SHAKE ที่มีการใช้เป็นมาตรการลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย ประกอบด้วย 5 มาตรการ คือ 1.การเฝ้าระวัง 2.สร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร 3.การติดฉลาก แสดงปริมาณโซเดียม 4.การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักรู้ และ 5.การสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการส่งเสริมให้ประชาชนได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ผลการศึกษา พบว่า มาตรการที่คุ้มทุนที่สุด คือ มาตรการสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร โดยใช้งบประมาณ 5.3 ล้านบาท ผลต่อสุขภาพ ช่วยชีวิตคนถึง 32,670 คน และมีจำนวนปีสุขภาพดีถึง 1.45 แสนปี รองลงมาคือ มาตรการติดฉลากแสดงปริมาณโซเดียม ใช้งบประมาณลงทุน 34.5 ล้านบาท ผลต่อสุขภาพช่วยชีวิตคน 31,190 คน จำนวนปีสุขภาพดี 1.3 แสนปี
ตามด้วยมาตรการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการส่งเสริมให้ประชาชน ได้กินอาหารที่ต่อสุขภาพ ใช้งบประมาณ 10.5 ล้านบาท ผลต่อสุขภาพช่วยชีวิตคน 26,399 คน จำนวนปีสุขภาพดี 8.4 หมื่นปี และการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการส่งเสริมให้ประชาชน ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการเฝ้าระวังตามลำดับ
นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สำหรับมาตรการทางกฎหมาย ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการในเรื่องลดบริโภคโซเดียม อาทิ ในปี 2561 มีการออกประกาศ อย.เรื่องการกำหนดประเภทอาหาร ที่จะต้องแสดงฉลาก GDA ที่ต้องมีค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ให้ประชาชนสามารถมองเห็นปริมาณได้ชัดเจนจาก 5 กลุ่มอาหาร เป็น 13 กลุ่มอาหาร
ได้แก่ อาหารขบเคี้ยว ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ขนมอบ อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารมื้อหลัก ที่เป็นอาหารจานเดียวและต้องแช่แข็ง เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ชาปรุงสำเร็จ กาแฟปรุงสำเร็จ นมปรุงแต่ง นมเปรี้ยว ผลิตภัณฑ์ของนม น้ำนมถั่วเหลือง และไอศกรีมพร้อมบริโภค
นอกจากนี้ มีการแก้ไขประกาศ ในเรื่องค่าสูงสุดของปริมาณโซเดียมที่ต้องแสดงบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารต้องไม่เกิน 2,000 มก. ลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 2,400 มก.
"ในเรื่องการกำหนดค่าสูงสุดของปริมาณโซเดียมในอาหารนำเข้านั้น อย. ก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้ แต่จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและรอบด้าน โดยมีการหารือกับทุกภาคส่วน เพราะจะต้องดูว่า หากใช้มาตรการนี้แล้ว จะเป็นการกีดกันทางการค้าหรือไม่ด้วย ส่วนมาตรการทางภาษีนั้น หากจำเป็นต้องดำเนินการ อย.ก็พร้อมจะผลักดัน แต่มองว่า หากสามารถทำให้ประชาชนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยการลดการกินเค็มลง ก็จะทำให้อุตสาหกรรมอาหารปรับสูตรลดโซเดียมลง โดยอาจไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางภาษี" นพ.พูลลาภ กล่าว