’09-01-62′ วันดีเดย์..ไทยพร้อม ‘ยุติไขมันทรานส์’
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ภาพประกอบจาก สสส.
9 ม.ค. 2562 จะเป็นวันที่ "ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ. 2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือ จำหน่าย" ซึ่งกำหนดให้ "น้ำมันที่ผ่านกระบวนการ เติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ" หรือที่เรียกว่า "ไขมันทรานส์ (Trans Fat)" เป็นอาหารต้องห้ามในประเทศไทยมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 13 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา
ทำให้เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2562 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายลดการบริโภคไขมัน กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และมูลนิธิหมอชาวบ้าน จัดเสวนา "จับตาไขมันทรานส์หลังกฎหมายบังคับใช้" ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซ.งามดูพลี ย่านสาทร กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมความพร้อมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า อย. ได้เตรียมความพร้อมโดยมีการประชุมชี้แจงกับผู้ประกอบการ ไขมัน ทั้งผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย ให้เข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมาย รวมถึงวางแผนเฝ้าระวัง และตรวจสอบติดตามหลังจากที่ประกาศฯ ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ โดยมีการติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวัง ณ สถานที่ผลิต สถานที่นำเข้า สถานที่ จำหน่าย
ซึ่งจะมีการสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์เพื่อวิเคราะห์ปริมาณไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์ อาหารกลุ่มเสี่ยง พร้อมกับจัดทำคู่มือแนวทางการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 สำหรับผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน "ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษตามมาตรา 50 ของ พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ.2522 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท" พร้อมเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค ในช่องทางต่างๆ
ขณะที่ นายพิเชฐ อิฐกอ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เนื่องจากในอดีตยังไม่มีความรู้ว่ากระบวนการผลิตไขมัน ด้วยการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงในไขมัน ไม่อิ่มตัวเพื่อให้เนื้อไขมันแข็งขึ้นจะก่อให้เกิด ไขมันทรานส์ แต่ตอนนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่าไขมันทรานส์ ไม่เกิดประโยชน์ อุตสาหกรรมผลิตไขมันของไทยจึงเปลี่ยนวิธีการผลิตมาเป็นการเติมไฮโดรเจนแบบสมบูรณ์และใช้วิธีผสมน้ำมันพืชอื่นๆ ทดแทน
ดังนั้น ในประเทศไทยจึงไม่มีการผลิตไขมันที่ก่อให้เกิดไขมันทรานส์จากกระบวนการทางอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนประเด็นการนำเข้าไขมันจากต่างประเทศหลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 นั้น อย. จะตรวจเข้มการนำเข้าหรืออาหารนำเข้า โดยผู้ประกอบการต้องมีใบรับรองเพื่อยืนยันว่า ไม่มีการปนเปื้อนของไขมันทรานส์จากกระบวนการ ทางอุตสาหกรรม ดังนั้น ผู้ผลิตไขมันในประเทศ มีความพร้อมแน่นอน
"ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ หากมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ยังคงมีไขมันทรานส์ จากกระบวนการอุตสาหกรรมปนเปื้อนอยู่ หลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 ต้องเรียกคืนเพื่อไม่ให้ มีอยู่ในท้องตลาด เพราะก่อนกฎหมายฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้ได้ให้เวลาผู้ประกอบการมาล่วงหน้าแล้ว โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมจะเผยแพร่ข้อมูลให้กับกลุ่มสมาชิกได้รับทราบและปฏิบัติตามประกาศนี้ ร่วมกัน" นายพิเชฐ ระบุ
ด้าน น.ส.ภาวดี ใจเอื้อ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กล่าวเสริมว่า สวก.ได้ร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนให้มีการตรวจปริมาณไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมอาหารในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ในท้องตลาด และได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนที่ปราศจากกรดไขมันทรานส์และมีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ เช่น มาร์การีนจากน้ำมันรำข้าว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับตัว และสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค
ศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต อาจารย์ประจำ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การที่กฎหมายห้ามการผลิตและการนำเข้าไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมอาหาร ผู้ประกอบการจึงต้องหาผลิตภัณฑ์อื่น มาทดแทน นอกจากนี้ อย. ควรดูใบยืนยันส่วนผสม ในสินค้าที่ด่านนำเข้าและสถานประกอบการ ผลิตอาหาร โดยจะสุ่มตัวอย่าง หากเป็นน้ำมันเนย จากธรรมชาติไขมันทรานส์ต้องอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 แต่ถ้าเป็นน้ำมันหรือไขมันที่ได้มาจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนจะมีไขมันทรานส์สูงถึงร้อยละ 40-50 ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจน
"แม้จะมีการปรับปรุงสูตรการผลิตไขมันแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังคือไขมันอิ่มตัว ที่อาจเพิ่มขึ้นเพื่อมาทดแทน และสิ่งที่ภาครัฐ ต้องเฝ้าระวังคือ การกล่าวอ้าง Zero Trans Fat หรือปลอดจากไขมันทรานส์ 100% หากจะกล่าวอ้างต้องใช้เกณฑ์ร่วมกับไขมันอิ่มตัว โดยไขมันอิ่มตัวต่อหน่วยบริโภคต้องไม่เกิน 5 กรัม ต่อมื้อ และไขมันทรานส์ ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อมื้อ" ศ.ดร.วิสิฐ กล่าว
พญ.ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวย้ำว่า "โรคหลอดเลือดเป็นโรคอันดับ 2 ของคนไทยที่ทำให้เกิด ความสูญเสียทางสุขภาพ" หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย ทั้งการตายก่อนวัยอันควรและความสูญเสียจากการมีชีวิตอยู่ด้วยความบกพร่องทางสุขภาพ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือภาวะน้ำหนักเกินจากพฤติกรรมการกิน โดยเฉพาะอาหารทอดกรอบ
ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาที่สำคัญจากการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไป โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 แคลอรี่ จึงเป็นแหล่งพลังงานสูง ดังนั้นจึงขอแนะนำการบริโภคไขมันที่เหมาะสม โดยในแต่ละวันควรกินไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงาน และจำกัดปริมาณการกินไขมันอิ่มตัว ไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงาน หรือคิดเป็นมื้อละไม่เกิน 1 ช้อนชา
นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า แม้จะมีประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการห้ามใช้ไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมอาหารในการผลิตอาหาร ส่งผลให้อาหารที่เคยมีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ เช่น พัฟฟ์ พาย เค้ก และอาหารทอดกรอบ ปลอดจากไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมอาหารแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของประชาชน
แต่มีความห่วงกังวลว่า "ผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดคิดว่าอาหารที่ปลอดไขมันทรานส์จากกระบวนการอุตสาหกรรมนั้นมีความปลอดภัย แล้วจึงสามารถบริโภคได้มากขึ้น" นั่นหมายถึง "การได้รับไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่มากกว่าเดิม" ซึ่งไขมันอิ่มตัวพบมากในอาหารทอดกรอบ เนื้อสัตว์ ติดมัน เบเกอรี่ คุกกี้ โดนัท ครีมเทียม เนยเทียม ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน จึงต้องย้ำในอีกทางหนึ่งว่า..ควร หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไขมันใน ปริมาณมาก