‘ไม่ขี่ก่อน15’ ลดเหยื่อเด็กเจ็บ-ตายจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์
สถิติการเกิดอุบัติเหตุในปี 2554 พบว่าเยาวชนอายุ 10-14 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิต และบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยโครงการ “ก่อนครบ 15 ปีไม่ขับขี่มอเตอร์ไซค์” จะชี้ให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิความปลอดภัยของเด็กในประเด็นขับขี่รถจักรยานยนต์ก่อนวัยอันควร
น.ส.กรวิการ์ บุญตานนท์ นักวิจัยศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี กล่าวว่า ศูนย์วิจัย ได้ร่วมมือกับชมรมเยาวชนคนสร้างหนังแห่งประเทศไทย (Young Film Makers of Thailand) และ สสส. จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อรณรงค์ “ไม่ขี่ก่อน 15” เพื่อลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเยาวชน โดยจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในปี 2554 พบว่าเยาวชนอายุ 10-14 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิต และบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยพบอัตราการตายคิดเป็น 15 รายต่อแสนประชากร จากสถิติอุบัติเหตุจราจรในเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ในปี 2554 มีทั้งประเทศเท่ากับ 15,577 ราย เกิดจากการขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์คิดเป็น 11,593 ราย หรือ ร้อยละ 74 แบ่งเป็นเกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ 5,913 ราย หรือ ร้อยละ 73 เกิดจากการโดยสารรถจักรยานยนต์ 5,680 ราย หรือร้อยละ 70
“การสำรวจในปี 2556 พบว่าเด็กชั้นป.6 จำนวน 2,858 คน ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นแล้ว 1,627 คน หรือ คิดเป็นร้อยละ 56.9 ซึ่งจากสถิติสาเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิตของเด็กอายุ 10-14 ปี ก็ชี้ว่า เกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ ดังนั้นหากสามารถรณรงค์ ไม่ให้มีการขับขี่รถจักรยานยนต์ก่อนวัยอันควร คือ ก่อนอายุ 15 ปี ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คาดว่าจะลดอัตราการตายได้ประมาณร้อยละ 29 และลดอัตราการบาดเจ็บลงได้ ประมาณร้อยละ 38” น.ส.กรวิการ์กล่าว
น.ส.กรวิการ์กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อรณรงค์ “ไม่ขี่ก่อน 15” มีเป้าหมาย 1 ภาค 1 จังหวัด จะเริ่มเปิดตัวที่ภาคตะวันออก ที่ จ.ระยอง แห่งแรก ตามโครงการแผนยุทธศาสตร์เพื่อลดอัตราการตายในเด็กจากอุบัติเหตุและสิ่งแวดล้อมอันตรายในทศวรรษที่สองของการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งได้บรรจุแผนลดอัตราการตายกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี ภายใต้ชื่อโครงการก่อนครบ 15 ปีไม่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ โดยชี้ให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิความปลอดภัยของเด็กในประเด็นขับขี่รถจักรยานยนต์ก่อนวัยอันควร
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด