แม่…ผู้สร้างทุนชีวิตลูก
แนะบันได 3 ขั้นสร้างเด็กที่สมบูรณ์ทั้งกาย-ใจ
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน “แม่…ผู้สร้างทุนชีวิตลูก” ว่า ต้นทุนชีวิตของเด็กและเยาวชนถือเป็นภูมิคุ้มกันของเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นการลดพฤติกรรมเสี่ยงและปัญหาที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งต้นทุนดังกล่าว ประกอบด้วยพลังตัวตนหรือคุณค่าในตัวเอง พลังเพื่อนและกิจกรรม พลังครอบครัว พลังชุมชน และพลังสร้างปัญญา แต่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มักเน้นการให้ต้นทุนกับลูกเพียง 2 ด้านคือ ทุนทรัพย์ และทุนทางปัญญา ผลที่ออกมาคือเด็กในปัจจุบันกลายเป็นหุ่นยนต์ มุ่งเรียนและแข่งขันเพื่อให้ได้งานสบายและเงินเดือนสูงๆ แต่ขาดการสร้างต้นทุนชีวิต ซึ่งเป็นทุนการเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กมีความเป็นคนมากกว่าหุ่นยนต์
ก็แสดงว่าต่อไปนี้ ผู้เป็นพ่อและแม่ จะต้องสร้างต้นทุนชีวิตให้แก่ลูกให้ครบสูตร อย่าหยิบเอามาเฉพาะสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีเท่านั้น เพราะชีวิตต้องประกอบด้วยทุกปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ ซึ่งจากที่พ่อแม่สร้างต้นทุนให้แก่ชีวิตของลูกไม่ครบสูตรนี่เอง ทำให้เด็กไทยขาดทักษะการเป็นผู้ให้ ส่งผลสังคมขาดความเอื้ออาทร ยอมรับความไม่ซื่อสัตย์
สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรกระทำเพื่อให้ชีวิตของลูกครบสูตร คือ ต้อง “ให้เวลา ให้ความรัก และพูดให้กำลังใจ” ที่ต้องยึดถือว่า เป็นบันได 3 ขั้นของการเลี้ยงดูลูก
จากการสำรวจต้นทุนชีวิตของเด็กและเยาวชน ผ่านแบบทดสอบต้นทุนชีวิตของเยาวชนอายุระหว่าง 12 – 25 ปี จำนวน 20,892 ตัวอย่าง ใน 18 จังหวัด พบว่า ต้นทุนชีวิตที่ขาดหายไปของเด็กไทย มีอยู่ 4 ด้าน คือ
1. ขาดทักษะการเป็นผู้ให้ (มีเพียงร้อยละ 34) เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยทำงานบ้าน หากเยาวชนไม่มีทักษะการเป็นผู้ให้สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ สังคมจะขาดความเอื้ออาทร และเห็นแก่ตัวมากขึ้น
2. ขาดการร่วมกิจกรรมทางศาสนา (ร้อยละ43) เมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็ก และเยาวชนขาดแรงยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และหันไปยึดเหนี่ยวทางวัตถุ
3. การสะท้อนคุณค่าของเด็กๆ ในชุมชนในระดับที่น้อยมาก (ร้อยละ51) แสดงให้เห็นว่า ประเทศเราลงทุนกับเด็กและเยาวชนในกิจกรรมสร้างสรรค์น้อยมาก ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์เด็กติดเกม เพราะขาดพื้นที่และกิจกรรมทางเลือกอื่นๆ
4. ยอมรับการไม่พูดความจริง (ร้อยละ30) ซึ่งเป็นประตูบานแรกสู่ความไม่ซื่อสัตย์
มีตัวอย่างที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกรณีที่ พ่อแม่จะต้อง “ให้เวลา ให้ความรัก และพูดให้กำลังใจ” แก่ลูก พบว่าแม่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการใช้เวลากับลูก ส่วนใหญ่พ่อมักจะมีปัญหาเรื่องเวลาให้กับลูกมากกว่า แต่เวลาที่แม่ให้กับลูกมักอยู่ในรูปของการให้การสนับสนุนมากกว่าการสร้างสัมพันธภาพ ดังนั้นการใช้เวลากับลูกให้สัมผัสถึงความรักด้วยคำพูดหรือแม้แต่การโอบกอดสัมผัสจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และไม่ควรใช้คำพูดที่บั่นทอนจิตใจ
ซึ่งจากการให้คำปรึกษาในคลินิกวัยรุ่นพบว่า 100% ที่มาปรึกษาไม่มีทักษะในการชื่นชม หรือพูดคุยให้กำลังใจ มีกรณีตัวอย่างที่พบว่า เด็กที่ได้เกรดเฉลี่ย 0.26 เพราะมาจากคำพูดของแม่ที่บั่นทอนจิตใจมาตลอด ดังนั้นหากบันไดทั้ง 3 ขั้นดังกล่าวขาดหายไป การสร้างต้นทุนชีวิตด้านต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
หากคุณพ่อคุณแม่หรือน้องๆ เยาวชนอยากทดสอบว่า ต้นทุนชีวิตที่ตนมีอยู่นั้นเป็นอย่างไรสามารถทดสอบต้นทุนชีวิตเบื้องต้นได้โดยผ่านทางเกมทดสอบทุนชีวิตในเว็บไซด์ www.thaihealth.or.th หรือ www.dekplus.com แบบไม่ต้องเสียกะตังค์
ยังมีข้อมูลเสริมเพื่อยืนยันให้เห็นถึงสภาวะของต้นทุนชีวิตของเด็กในประเทศไทย ที่เปิดเผยโดย คุณธนากร คมกฤช หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเครือข่าย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว เปิดเผยให้ทราบ ว่า จากการสำรวจต้นทุนชีวิตของเยาวชนไทย ที่มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวได้นำแบบสำรวจต้นทุนชีวิตสำหรับเยาวชนไทยไปสำรวจครอบครัวในสถานศึกษา จำนวน 4 ภาคทั่วประเทศ
พบว่า ต้นทุนชีวิตที่เด็กและเยาวชนเลือกตอบน้อยที่สุด คือ พลังเพื่อนและกิจกรรม และพลังชุมชน แสดงว่าสิ่งที่ยังขาดคือการมีกิจกรรมในชุมชน สะท้อนถึงการขาดพื้นที่สร้างสรรค์ในชุมชน ขณะที่ต้นทุนชีวิตที่ถูกเลือกมากที่สุด คือ พลังครอบครัว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ความแข็งแรงของพลังครอบครัวนั้น อยู่ในบทบาทด้านการสนับสนุน มากกว่าการอบรมเลี้ยงดูและสัมพันธภาพในครอบครัว
นายธนากร กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน จึงควรทำงานด้วยกัน 2 ส่วนคือ 1. การจัดกระบวนการสร้างการเรียนรู้ของพ่อแม่ โดยเชื่อมกับเขตพื้นที่การศึกษาระดับจังหวัด 10 แห่ง และ 2. การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของเด็ก เช่น โครงการต้นกล้าจิตอาสา ซึ่งเป็นกระบวนการให้เด็กและชุมชนได้ทำกิจกรรมและการเรียนรู้ ซึ่งขณะนี้ได้มีจับมือทำงานร่วมกับองค์กรปกครองท้องถิ่น พบว่า อบต.หลายพื้นที่เริ่มหันมาทำงานในมิติของครอบครัวมากขึ้น โดยมีนโยบายและงบประมาณ แต่ยังขาดเครื่องมือ
ดังนั้น ในอนาคตอาจจำเป็นต้องมีการพัฒนานักพัฒนาครอบครัวประจำตำบลเพื่อเป็นกลไกในการทำงาน เพราะหากกลไกระดับล่างที่ใกล้กับครอบครัวมากที่สุดทำงาน ก็จะลงลึกถึงครอบครัวซึ่งเป็นรากฐานของสังคมได้มากยิ่งขึ้น
วันแม่แห่งชาติ จึงเป็นนิมิตรอันดีที่จะกระตุ้นให้แม่และลูก ได้มีกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับชีวิตพร้อมๆ กับ แม่ที่จะต้องคำนึงถึงการมอบต้นทุนแห่งชีวิตที่ครบองค์ประกอบให้กับลูกๆ เพื่ออนาคตที่ดีของลูกต่อไปในวันข้างหน้า
เพราะในชีวิตของลูก ย่อมไม่มีอะไรที่พวกเขาจะรักและเทิดทูนมากไปกว่า ผู้เป็นแม่…แม่ ผู้ให้ต้นทุนชีวิตแก่ลูกๆ ที่ไม่มีผู้อื่นใดเทียบเท่า
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Update 13-08-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก
อ่านเนื้อหาทั้งหมดในคอลัมน์คลิกทีนี่