แนะพ่อแม่สร้างความเท่าเทียมเรื่องเพศ
ลดการทำร้ายสตรี
จากข้อมูลการให้ความช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง ของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2553 พบว่า มีจำนวนถึง 25,744 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 71 ราย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด นับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา
ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์โดยเฉพาะความรุนแรงต่อสตรีว่า ความรุนแรงต่อสตรี คือ การกระทำใดๆ ที่เป็นความรุนแรงที่เกิดจากอคติทางเพศ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่สตรี รวมทั้งความรุนแรงต่อร่างกาย เพศ และจิตใจ ที่เกิดขึ้นในครอบครัว ในชุมชน ทั้งการทารุณกรรมทางเพศ ทุบตี การข่มขืนโดยคู่สมรสหรือไม่ใช่คู่สมรส การนอกใจ ด่าทอ ทำให้อับอาย เสียใจ ไม่ให้ติดต่อกับญาติพี่น้องหรือสังคมภายนอก หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ที่ได้รับผิดชอบของฝ่ายชาย การไม่สามารถต่อรองเรื่องการคุมกำเนิดกับคู่ครอง ที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์จนนำไปสู่การทำแท้งเถื่อนที่เป็นปัญหาสังคมอยู่ขณะนี้ รวมทั้ง การนำเสนอผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศในสื่อลามก ตลอดจนการบังคับให้ค้าประเวณี จะเห็นได้ว่าผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงซ้ำซากมาเป็นเวลานาน หากไม่เสียชีวิตอาจใช้ความรุนแรงตอบโต้ เช่น ฆ่าสามี ผลตามมาคือผู้หญิงต้องรับโทษ ลูกไม่มีคนเลี้ยงดูกลายเป็นปัญหาสังคมได้
รมช.สธ. ยังได้แนะถึงแนวทางลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นว่า ประชาชนควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเรื่องความรุนแรงที่กระทำต่อผู้หญิง ไม่เพิกเฉยเมื่อพบการทำร้ายผู้หญิง ควรรีบให้ความช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ ที่สำคัญ ครอบครัวควรอบรมเลี้ยงดูและปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยม ทั้งลูกผู้หญิงและลูกผู้ชายให้เท่าเทียมกัน ไม่ใช้การอบรมสั่งสอนลูกแบบสองมาตรฐาน เช่น ให้ลูกผู้หญิงต้องรับผิดชอบงานบ้าน ขณะที่ลูกผู้ชายไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เอาใจใส่ซึ่งกัน และไม่นอกใจกัน ยอมรับและให้ความสำคัญของบทบาทซึ่งกันและกัน
นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเสริมว่า ผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรงแม้จะไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือร่องรอยที่เกิดขึ้นตามร่างกาย ซึ่งกรณีที่ไม่รุนแรงจะเลือนหายไป แต่บาดแผลภายในจิตใจนั้นถือว่าไม่อาจลบเลือนไปได้ง่ายๆ และอาจอยู่ในส่วนลึกของจิตใจผลกระทบนี้ ส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้ถูกกระทำที่ต้องการการเยียวยา บางรายอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ หรือการทำหน้าที่การงาน ผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงจำนวนมากจะซึมเศร้า หรือมีผลให้จิตใจแปรปรวน ขณะที่บางคนมีอาการเครียดท้อแท้เรื้อรัง ซึ่งผู้หญิงจำนวนมากสูญเสียความมั่นคงในตนเอง กลัวสังคมไม่ยอมรับ อับอายคิดว่าตนเองไร้ค่า มีมลทินติดตัว (โดยเฉพาะกรณีที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ) หลายรายมีอาการทางจิตมากขึ้น และจากผลการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่ถูกสามีทำร้ายทุบตีมีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้หญิงโดยทั่วไปถึง 5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่สามีไม่ได้ใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ หากพบว่า คนในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดมีปัญหาทางจิตใจ เนื่องจากถูกกระทำรุนแรง สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้ง www.twitter.com/dmhhappy
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
update : 30-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร