เร่งสร้างสังคมการเรียนรู้ ดึงท้องถิ่นใส่ใจเด็กนอกระบบ

เร่งสร้างสังคมการเรียนรู้ ดึงท้องถิ่นใส่ใจเด็กนอกระบบ

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภาคนำร่องในภาคอีสาน 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดมหาสารคาม นครพนม เลย อุดรธานี และหนองบัวลำพูน ในโครงการพัฒนาหน่วยจัดการดูแลรายกรณี (case management unit: cmu) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กด้อยโอกาสนอกระบบการศึกษาและเด็กกลุ่มเสี่ยงในระบบการศึกษาในระดับท้องถิ่น โดยให้คำแนะนำแก่ผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อนำวิธีการพัฒนาหน่วยจัดการดูแลรายกรณี ในการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสนอกระบบและเด็กกลุ่มเสี่ยงในระบบการศึกษา ให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกับเด็กปกติทั่วไป

ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวว่า การดูแลเด็กแบบรายกรณีโดยเน้นที่เด็กด้อยโอกาสและเด็กในกลุ่มเสี่ยง ด้วยความตระหนักว่าเด็กเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่า จึงคาดหวังให้เด็กได้เติบโต และได้รับการพัฒนาที่รอบด้านทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ดังนั้นครอบครัว โรงเรียนและชุมชน จึงมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการดูแล สั่งสอน ฝึกฝนกล่อมเกลา เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์อย่างเต็มตัวทั้งด้านความคิด ความสามารถและความสุข

ขณะเดียวกันหากเด็กมองตนเองไม่มีค่าและไม่มีความสามารถจะทำให้นำไปสู่การทำลายความเป็นส่วนตัวของเด็กอย่างสิ้นเชิง สร้างความกดดัน ความทุกข์ทรมาน บีบคั้นทำให้เด็กกระเจิดกระเจิงออกจากบ้าน ออกจากโรงเรียนผันตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมที่เสื่อมทราม ใช้เวลาไปกับสิ่งเริงรมย์ ตกเป็นเหยื่อสารเสพติด หนีโรงเรียน ก้าวราว ก่อปัญหาทะเลาะวิวาท จนกลายเป็นเด็กนอกระบบในที่สุด

เมื่อถามถึงการนำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วมในโครงการ ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า เพราะหน่วยงานท้องถิ่นเป็นอีกหน่วยงานที่รู้และเข้าใจเกี่ยวกับคนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี จึงได้ดึงความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างเครือข่ายดำเนินงานร่วมกันอย่างเป็นกระบวนและระบบ ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ยังมี โรงเรียน ผู้ปกครอง สถานีอนามัย ที่เป็นกำลังอันสำคัญในการเข้าไปพูดคุย แลกเปลี่ยนปัญหาและสร้างเป็นโมเดลในท้องถิ่นให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

เร่งสร้างสังคมการเรียนรู้ ดึงท้องถิ่นใส่ใจเด็กนอกระบบ
บรรยากาศการประชุมตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสนใจ 

“อีกประมาณปีสองปีข้างหน้า การสร้างกลุ่มเครือข่ายในท้องถิ่นที่เก่งและเข้มแข็งเป็นสิ่งที่ทางเราคาดหวังอยากจะเห็นมากที่สุด และในอนาคตเราอาจจะมีมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมเป็นตัวเชื่อมโยงในงานด้านฐานข้อมูลช่วยกับท้องถิ่นอีกแรง” ดร.อมรวิชช์ กล่าว

พ.ญ.พรรณพิมล วิปุลากรด้าน .ญ.พรรณพิมล วิปุลากร ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่าหน่วยจัดการดูแลเด็กด้อยโอกาสรายกรณี เป็นเหมือนการต่อยอดระบบปกติที่มีการดูแลเด็กพิเศษหรือเด็กกลุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะเด็กกลุ่มพิเศษหรือเด็กกลุ่มเสี่ยงใช้เฉพาะกระบวนการปกติก็สามารถช่วยเด็กได้ในระดับหนึ่ง แต่เราก็จะรู้ว่าเด็กมีความต้องการบางอย่างที่ต้องดูแลเฉพาะ เช่น กลุ่มเด็กออทิสติก ซึ่งปัญหาใหญ่ของเขานั้นเป็นปัญหาทางสังคม โครงการนี้จึงได้เข้ามาเพื่อพยายามให้เกิดหน่วยจัดการเพื่อเชิญชวนเครือข่ายมาเป็นหน่วยจัดการและพัฒนาให้มีความรู้ ซึ่งหน่วยจัดการได้มาจากบุคลากรในหน่วยงานองค์กรส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. อบจ. โรงเรียน ชุมชน เป็นหลัก

พญ.พรรณพิมล กล่าวด้วยว่า เมื่อหน่วยจัดการของเรามีความรู้เกี่ยวกับเด็กออทิสติก เด็กสมาธิสั้น เด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ (learning disabilities) หรือแม้แต่เด็กที่มีปัญหาทางด้านพฤติกรรม ก้าวราว และติดสิ่งเสพติด ถ้ามีหน่วยจัดการเข้าไปศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะบกพร่อง โดยมีวิธีการ 3 เรื่อง คือ 1.ความบกพร่องทางด้านกายภาพหรือทางด้านร่างกาย 2. ด้านจิตใจ และ 3.ด้านสังคม จึงคาดหวังว่า โครงการหน่วยจัดการดูแลเด็กด้อยโอกาสรายกรณี จะเป็นจุดเริ่มต้นและเห็นผลได้ในระยะยาว เพราะเรามีท้องถิ่นที่เข้มแข็งทำงานร่วมกัน

“เราพยายามกระจายและส่งเสริมให้มีเครือข่ายที่เป็นหน่วยจัดการให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อให้ทุกท้องถิ่นได้มีระบบและกระบวนการที่ดีในการให้โอกาสแก่เด็กที่ด้อยโอกาสนอกระบบให้กลับมามีโอกาสเหมือนคนอื่น” พญ.พรรณพิมล กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

Shares:
QR Code :
QR Code