เตือนขับรถ-ดูทีวีผิดฐาน ‘ประมาท’

ผบก.จราจร ออกมาเตือนผู้ที่ติดตั้งทีวีในรถยนต์ อาจมีความผิด ขณะเดียวกันก็เห็นว่าถึงเวลาทบทวนกฎหมายจราจรที่มีมาตั้งแต่ปี 2522 ได้แล้วเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน วอนตำรวจทบทวนกฎหมายขับรถบนทางด่วนให้เหมาะสม ด้านตำรวจจราจรเตือนดูทีวีขณะขับรถ มีความผิดฐานขับรถประมาท

เตือนขับรถ-ดูทีวีผิดฐาน 'ประมาท'

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้รับทราบว่าประเทศเกาหลีเตรียมออกกฎหมายห้ามดูโทรทัศน์ขณะขับรถยนต์ เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้เกิดกรณีขับรถชนคนเสียชีวิต ซึ่งมีสาเหตุจากการดูทีวีทำให้สูญเสียสมาธิในการควบคุมรถ และความสนใจต่อเหตุการณ์รอบตัวลดลง แม้ว่าคนขับจะไม่ได้ดูโทรทัศน์ แต่แสงสว่างจากจอภาพเคลื่อนไหวและเสียงที่ได้ยิน ก็รบกวนสมาธิการขับรถ จึงเพิ่มความเสี่ยงอันตรายบนท้องถนน แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุจากการดูทีวีขณะขับรถ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจพฤติกรรมขับรถ และศึกษาตำแหน่งติดตั้งทีวีว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งวิจัยว่าการขับรถทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถน้อยลงหรือขับรถทำให้ประสิทธิภาพในการขับรถน้อยลงหรือไม่อย่างไร อย่างไรก็ตามอยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยรณรงค์ขอให้ผู้ขับขี่เพิ่มความระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงการดูทีวีขณะขับรถด้วย

“บ้านเรามีข้อมูลเรื่องนี้น้อยมากจึงต้องศึกษาวิจัยก่อนที่จะออกกฎหมายหรือข้อบังคับ ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น อังกฤษ มีการวิจัยเรื่องพฤติกรรมกินอาหารขณะขับรถของคนวัยทำงานที่ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ โดยพบว่าหากกินอาหารขณะขับขี่จะส่งผลต่อการตัดสินใจช้าลงถึง 44%” นพ.ธนะพงศ์เผย

นักวิชาการด้านความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า เรื่องการกำหนดความเร็วบนถนนทางด่วนขณะนี้ได้ยึดตามกฎหมายห้ามขับรถเร็วเกินกว่า 80 กม.ต่อ ชม.สำหรับในเขตเมือง ส่วนนอกเขตเมืองห้ามขับเกิน 120 กม.ต่อ ชม. แต่ในความเป็นจริงตนได้คุยกับวิศวกรที่ออกแบบทางด่วนแล้ว ทราบว่า ทางด่วนในเขตเมืองถูกออกแบบให้สามารถใช้ความเร็วได้ตั้งแต่ 80-100 กม.ต่อ ชม. สำหรับการขับรถด้วยความเร็วใกล้เคียงกันหรือต่างกันไม่เกิน 10-20 กม.ต่อ ชม.ก็ไม่อันตรายมากเท่ากับพฤติกรรมขับตัดหน้ากระชั้นชิด

แต่สาเหตุที่ตำรวจไม่สามารถจับผู้ขับขี่บนทางด่วนที่ใช้ความเร็วเกิน 80 กม.ต่อ ชม.เพราะส่วนใหญ่ขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีในการตรวจจับ อย่างไรก็ตามมีข้อเสนอให้ทบทวนกฎหมายการขับรถบนทางด่วนให้เหมาะสมกับการออกแบบไว้ที่ 80-100 กม.ต่อ ชม.

พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดูแลด้านจราจร กล่าวว่า เรื่องการควบคุมผู้ขับขี่ห้ามดูโทรทัศน์ขณะขับรถ ถือเป็นเรื่องใหม่และไม่ใช่งานเร่งด่วนที่ต้องรีบเพราะมีเรื่องที่กำลังทำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนน ให้ถูกต้องตามกฎระเบียบจราจรเพื่อลดอุบัติเหตุโดยเฉพาะเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ซึ่งในช่วงหลังๆ ไม่ค่อยเข้มงวดกวดขันมากนัก เพราะประชาชนได้ใช้อุปกรณ์เสริมมากขึ้น อย่างไรก็ตามจุดที่ติดตั้งกล้องซีซีทีวีตรวจจับผู้ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถก็ยังมีอยู่และมีสถิติจับ-ปรับกรณีนี้ทุกเดือน

รอง ผบช.น.ดูแลด้านจราจร กล่าวว่า สำหรับการใช้ความเร็วบนทางด่วนที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 80 กม.ต่อ ชม. ตนไม่อยากใช้คำพูดว่าอนุโลม แต่ถ้าหากตรวจจับได้ก็จะเรียกมาว่ากล่าวตักเตือน ในแต่ละเดือนก็มีการตรวจจับได้จำนวนมาก

ด้าน พล.ต.ต.อุทัยวรรณ แก้วสอาด ผู้บังคับการตำรวจจราจร บช.น. กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจมีแนวคิดที่จะรณรงค์ให้ประชาชนระมัดระวังการดูทีวีขณะขับรถ เพราะจะทำให้เสียสมาธิได้มีแนวคิดที่จะรณรงค์ให้ประชาชนระมัดระวังการดูทีวีขณะขับรถ เพราะจะทำให้เสียสมาธิได้เช่นเดียวกับการหยิบมือถือขึ้นมาคุย แม้จะไม่มีกฎหมายที่เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามดูทีวี แต่หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบพฤติกรรมดังกล่าว ก็อาจจะมีความผิดตามกฎหมายมาตราอื่นๆ เช่น ขับรถประมาท หวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลและทรัพย์สินผู้อื่นขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นและขับรถในลักษณะผิดปกติวิสัยของการขับรถธรรมดาที่ไม่ปลอดภัย เป็นต้น

 “กฎหมายจราจรมีตั้งแต่ปี 2522 ก็นานแล้ว ถึงเวลาต้องทบทวนหรือแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน” ผบก.จราจร กล่าว

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code