เคล็ด (ไม่) ลับสร้าง ‘เด็กดี’ มีคุณภาพ
‘เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า’ เป็นอีกหนึ่งประโยคยอดฮิตสำหรับ “วันเด็กแห่งชาติ” ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงของชีวิตคนทั่วทุกมุมโลก และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากผู้ใหญ่สามารถปลูกฝังสิ่งที่ดีงามในตัวเด็กๆ ได้ เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ก็ย่อมเป็นคนคุณภาพในอนาคตได้ต่อไป
หากแต่การจะสร้างเด็กและเยาวชนให้พร้อม ‘เติบโต’ ขึ้นเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนั้น ก็ควรจะต้องมีการเตรียมพร้อมที่ดีตั้งแต่วัยเยาว์ และนี่อาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่า“วันเด็ก” มีความสำคัญและมีความหมายที่ควรจะเป็นอย่างไร
เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงจัดงานประชุม “การนำเสนอผลการศึกษาคุณภาพชีวิตเด็กไทย 2556” เพื่อวิเคราะห์และถอดรหัสออกมาว่าแต่ละปีที่ผ่านไป คุณภาพชีวิตของเด็กมีอะไรที่เป็นอุปสรรคทำให้พวกเขาเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย และผู้ใหญ่ในวันนี้ จะร่วมช่วยกันแก้ปัญหาและสร้างอนาคตให้กับเด็กๆ อย่างไรได้บ้าง
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส.กล่าวให้ความเห็นว่า “คุณภาพชีวิตของเด็ก” ควรจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์มารดา เพราะคำว่า ‘เด็ก’ นี้ มิได้หมายความถึง เด็กๆ ที่อยู่นอกท้องของมารดาเท่านั้น ทว่ากินความหมายตั้งแต่การอยู่ในครรภ์ เติบโตเป็นเด็กปฐมวัย เข้าสู่วัยเรียน และวัยรุ่น ซึ่งในแต่ละช่วงวัย ก็ควรจะได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในการชีวิตได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพมากที่สุด
เตรียมพร้อมการตั้งครรภ์ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า “วางแผนการมีบุตร” เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้เศรษฐกิจของครอบครัวดำเนินต่อไปได้อย่างไม่สะดุดแล้ว ขั้นตอนนี้ยังช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิดของเด็กอีกด้วย
โดยผลสำรวจที่ผ่านมาพบว่า เด็กไทยมีความพิการแต่กำเนิดจำนวนประมาณ 24,000 – 40,000 คน/ปี โอกาสนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพรสวรรค์ วสันต์ ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลที่สำคัญว่า การส่งเสริมโภชนาการและวิตามินที่เหมาะสมแก่หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคน ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาความพิการในเด็ก หากแต่ยังช่วยส่งเสริมการสร้างเซลล์ประสาท ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาเด็กโดยตรง
“แนวทางการพัฒนาเด็กจะต้องมีปัจจัยหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ ทั้งด้านสุขภาพที่ดี เป็นคนดี มีคุณธรรม และมีความสุข เพราะหากสุขภาพดี สมองก็จะดี และหากสมองทำงานได้ดี สุขภาพก็จะดีด้วยเช่นกัน”
ดังนั้น การพัฒนาสมองของเด็กจึงเป็นปัจจัยที่จะกำหนดศักยภาพและคุณภาพของชีวิตคนในอนาคต ซึ่งการพัฒนาของสมองควรจะเริ่มต้นตั้งแต่การปฏิสนธิ
ปัจจัยในการพัฒนาสมอง แพทย์หญิงพรสวรรค์ อธิบายเพิ่มเติมว่า สิ่งแวดล้อมและโภชนาการทำให้สมองเกิดการพัฒนาด้านโครงสร้าง พัฒนาด้านการทำงาน และพัฒนาด้านพฤติกรรม โดยการสร้าง ‘เซลล์ประสาท’ จะประกอบไปด้วยอาหารโปรตีน ธาตุเหล็ก ไอโอดีน กรดไขมัน และโฟลิก
“วิตามินต่างๆ มีความสำคัญมากขณะตั้งครรภ์ โดยข้อมูลทางวิชาการระบุว่า วิตามินโฟลิกช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิด หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรกินอย่างน้อยตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ 2 เดือน และหลังการตั้งครรภ์อีก 3 เดือน ขณะเดียวกัน ไอโอดีนมีผลต่อการพัฒนาสมองและการเจริญเติบโต ซึ่งมีผลกระทบต่อกลุ่มคนทุกช่วยวัยตลอดระยะเวลาของชีวิต เพราะหากทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงอายุ 3 ปี ขาดสารไอโอดีนแล้ว ก็จะทำให้สมองเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ลดความเฉลียวฉลาดหรือระดับสติปัญญาของเด็กลงได้ถึง 10-15 จุด ทำให้เด็กมีปัญหาการเรียน และมีพัฒนาการไม่สมวัย”
ผลจากการพัฒนาสมอง ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมให้มีการพัฒนาสมองของเด็กตามช่วงอายุ ในระยะ 6 ปีแรกของชีวิตที่มีการสร้างเซลล์ประสาทมากๆ จะทำให้เด็กเติบโตเป็นผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสมรรถภาพในการเรียนรู้ การทำงาน การครองคู่ และมีความสำเร็จในชีวิต
นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับการพักผ่อนของเด็ก ก็มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาการ สติปัญญา และการเรียนรู้ด้วย
“เด็กๆ ควรนอนอย่างน้อย 10-12 ชั่วโมงและหลับสนิท เพื่อให้สมองได้จัดระเบียบการเรียนรู้และความจำขณะที่นอนหลับ เพื่อนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไปเป็น Working Memory ทั้งนี้ มีผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนอนหลับในเด็กไทย พบว่าเด็กไทยตั้งแต่แรกเกิด นอนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 2 ชั่วโมง ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพจิต การเกิดอุบัติเหตุ และปัญหาสุขภาพในภายหลัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน”
โดยเมื่อเตรียมพร้อมทางด้าน ‘สติปัญญา’ และ ‘สุขภาพ’ ให้กับเด็กๆ ดีแล้ว การที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองร่วมแบ่งปัน “เวลา” เพื่อสร้างความรัก ความอบอุ่น รวมถึงอบรมสิ่งดีงามเพื่อสร้าง “ต้นทุนชีวิต” ให้เด็กด้วย ก็จะยิ่งทำให้เด็กๆ เหล่านั้น เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป
เพราะหากเปรียบเด็กน้อยบริสุทธิ์เป็นไม้พันธุ์งาม ต้นไม้ทุกต้นล้วนเติบโตขึ้นได้ด้วยแสงสว่างของความอบอุ่น การปลูกฝังดีงามใดๆ ก็ตามแก่พวกเขาในช่วงเวลานี้ จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้พวกเขาเติบใหญ่และผลิบานขึ้นมาได้ด้วยดี…
เรื่องโดย: ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th