อาสาสมานใจ ผู้สูงวัย
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2553 มีผู้สูงอายุ 8.01 ล้านคนจากประชากร 67.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.9 และอีก 10 ปีข้างหน้า มีเด็กกับผู้สูงอายุในสัดส่วนเท่ากันประมาณ 12 ล้านคน และในระยะยาวจำนวนผู้สูงอายุจะมากกว่าจำนวนเด็ก ส่วนคนที่อยู่ในวัยแรงงานจะมีปริมาณลดลง เป็นโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงอายุประชากรที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เพื่อเตรียมกับความเปลี่ยนแปลง หลายหน่วยงานได้มีการเตรียมพร้อม โดยเฉพาะสมาคมผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินโครงการสร้างเสริมสุขภาพให้กับผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ธิดา ศรีไพพรรณ์ ผู้อำนวยการแผนงานผู้สูงอายุและเลขาธิการสมาคมผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บอกว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่โดนทอดทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพัง เพราะลูกหลานต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ซ้ำบางรายยังถูกทอดทิ้งถาวร ลูกหลานย้ายไปทำงานและตั้งรกรากที่อื่น แล้วไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียน
ในปีนี้ ทางสภาผู้สูงอายุ จึงได้จัดอบรมโครงการอาสาสมัครเยาว์วัยใส่ใจผู้สูงอายุ (อผส.น้อย) จำนวน 50 ชมรม โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. (สำนัก 6) ซึ่งจะสนับสนุนในช่วงปีแรก หลังจากนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล หรือเทศบาล ต้องจัดงบเข้ามาอุดหนุนในปีต่อๆ ไป เป็นการต่อยอดและขยายผลโครงการให้สามารถดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ เยาวชนที่สนใจร่วมโครงการ ต้องมีอายุ 10 ปีขึ้นไป และได้รับอนุญาตทั้งจากผู้ปกครอง และโรงเรียน เพราะต้องออกไปดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ของตนเองอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเมื่อออกไปพบปะแต่ละครั้ง ก็ต้องบำเพ็ญประโยชน์ด้วย เช่น การทำความสะอาดร่างกายผู้สูงอายุ, บีบนวดเผื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้ผู้สูงอายุ ฯลฯ ส่วนผู้สูงอายุเป้าหมาย คือกลุ่มที่ถูกทอดทิ้ง มีโรคเรื้อรัง อยู่คนเดียว หรือพิการ
“จากประสบการณ์ใน 3 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มจากโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ให้ผู้สูงวัยด้วยกันคอยดูแลกัน ปีต่อมารับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และ อสม. เข้ามาช่วยจึงเกิดความผูกพัน ออกไปเยี่ยมผู้สูงอายุอยู่เรื่อยๆ”
ขณะที่ ปรียากมล ข่าน หัวหน้าทีมประเมินโครงการอาสาสมัครเยาว์วัยใส่ใจผู้สูงอายุ เล่าว่า มีผู้สูงอายุบางรายถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวเป็นเวลาหลายปี ตอนแรกที่อาสาสมัครเข้าไปพบ จะไม่ยอมพูดคุยด้วย ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการทำความคุ้นเคย จึงจะยอมพูด ขณะที่บางรายก็มีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ไม่ยอมรักษา เพราะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่อยากมีชีวิตต่อไป เมื่ออาสาสมัครเข้าไปพูดคุยให้คำปรึกษาจึงยอมพบหมอและรักษาตัวในที่สุด
“สังคมไทยต้องเตรียมตัวเองก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ด้วยการออมเงิน วางแผนด้านการกินอยู่ และดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน เพราะเมื่อเข้าสู่ 6 เดือนสุดท้ายของการมีชีวิต จะเป็นช่วงที่ใช้เงินมากที่สุด มีปัญหาด้านสุขภาพที่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และการไปพบแพทย์ก็เป็นเพียงแค่การรักษาอาการเฉพาะหน้าเท่านั้น”
ทางด้าน เด็กหญิงอรุโณทัย ตาโน เยาวชนจากโรงเรียนสบปราบวิทยาคม จ.ลำปาง บอกว่า การเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์ เช่น การนวดคลายเครียด การทำแผล การเช็ดตัว ช่วยเหลือสร้างสัมพันธภาพกับผู้สูงอายุ ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปปรับใช้ในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากการเผยแพร่ขยายผลสู่เพื่อนๆ ในโรงเรียน ส่วนในหมู่บ้านก็มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ใกล้ตัวที่สุดคือคุณยายที่อยู่บ้านเดียวกัน หากนำความรู้ที่ได้ไปใช้ก็น่าจะลดช่องว่างระหว่างผู้สูงอายุกับเด็ก
คนสองวัยยามได้ใกล้ชิดกัน ความเบิกบานใจที่ผู้ใหญ่ได้รับ คือ ความรักที่คนรุ่นหลังสัมผัสได้นั่นเอง
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ