อย่าวุ่นกับงาน จนลืมบริหารพุง

ที่มา :  เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ


อย่าวุ่นกับงาน จนลืมบริหารพุง thaihealth


ไม่ว่าจะผอมแห้งหรืออ้วนล่ำ ก็เป็น "โรคลงพุง" ได้ทั้งนั้น หากมีขนาดพุงยื่นแซงหน้า "ส่วนสูง ๗ 2" โปรดรู้ว่า คุณกำลังเอาชีวิตไปเสี่ยงกับ "พุงเพาะโรค" เพราะไขมันวายร้ายในพุงพร้อมจะฆ่าคุณด้วยโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ เส้นเลือดสมองเสื่อม และโรคอื่นๆ ที่ตามมาเป็นหางว่าว


และอย่าคิดว่า โรคอ้วน คือปัญหาส่วนบุคคล เพราะผลร้ายของ "พุง" ในระดับองค์กร ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จากข้อมูลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่า พนักงานที่มีภาวะอ้วนลงพุงมีโอกาสที่จะขาดงานระยะยาวมากกว่า 7 วัน ถึง 1.7 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง มีวันขาดงานรวมมากกว่าถึง 13 เท่า และมีการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลมากกว่าพนักงานไม่ได้อ้วนลงพุงสูงเป็น 2 เท่า


อ้วนลงพุงจึงเป็นภัยเงียบขององค์กร ที่องค์กรไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะผลลัพธ์ไม่เพียงดีแค่ต่อพนักงาน แต่ยังดีต่อองค์กรโดยตรง สุขภาพที่แข็งแรงทำให้พนักงานเกิดความกระฉับกระเฉง เพิ่ม ประสิทธิการการทำงาน ลาป่วยลดลง ลดรายจ่ายค่ารักษาพยาบาล ขณะเดียวกัน ยังเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยที่องค์กร มีต่อพนักงานไปจนถึงครอบครัวอีกด้วย


ที่ผ่านมา ในหลายองค์กรได้เกิดกระแสตื่นตัวหันมารณรงค์ลดพุงทั้งเจ้านายและลูกน้อง กอดคอกันสุขภาพดียกองค์กร ตัวอย่างเช่น เครือเอสซีจี ที่เริ่มนำร่องก่อนใครมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่สมัย กานต์  ตระกูลฮุน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่คนก่อน การที่ผู้บริหารระดับสูงที่นี่ให้ความสนใจและทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ทำให้เกิดนโยบายที่เอื้อให้พนักงานได้ดูแลสุขภาพตามมา และยังทำให้ทุกคนรู้สึกว่า แม้ผู้บริหารจะมีงานเยอะแต่ก็ยังดูแลตัวเองได้ เราเองก็ไม่ควรอ้างว่าไม่มีเวลาด้วย เหมือนกัน


นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายองค์กรมากมาย อาทิเช่น โตโยต้า, ไทยยามาฮ่ามอเตอร์, ซูเปอร์จิ๋ว, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, โรงพยาบาลเสนา, กรมอนามัย, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ กระแสการหันมาให้ความสำคัญกับการลดพุงระดับองค์กรยังขยายวงมาสู่ธุรกิจ เอสเอ็ม อี กว่า 200 แห่งที่ให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมงานสัมมนา "สถานประกอบการสู่การเป็นองค์กรลดพุงลดโรค" ซึ่งจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมการแนะนำ คู่มือ "9ขั้นตอน สู่การเป็นองค์กรลดพุงลดโรค" ซึ่งจัดทำโดยศูนย์การเรียนรู้องค์กรต้นแบบไร้พุงต้นแบบ


ด่านอรหันต์ที่ต้องฝ่า


อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย และรองประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุง บอกว่า การจะขับเคลื่อนไปสู่องค์กรลดพุงลดโรคได้ ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดต้องเริ่มต้นจาก "วิสัยทัศน์ผู้บริหาร" เพราะถ้า ผู้บริหารไม่เห็นความสำคัญ หรือไม่เอาด้วยก็ยากที่จะไปต่อ


"บทบาทของผู้บริหารไม่ใช่เพียงแค่การเปิดไฟเขียวหรือเซ็นหนังสือ แต่ต้องลงมาเล่นด้วย โดยมีตัวอย่างหลายบริษัทที่ ผู้บริหารลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองจนลดน้ำหนักได้พร้อมๆ พนักงาน เพราะมองว่านี่คือการท้าทายตัวเอง"


อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยกว่า ผู้บริหาร คือ การตั้งคณะทำงานที่ต้องคัดหายอดฝีมือที่มีแวว อย่างน้อยที่สุดในทีมควรมีไม่ต่ำกว่า 2-3 คน และอย่าเอามาแต่ฝ่ายบุคคล แต่ควรดึงแผนกอื่นเข้ามาด้วย เพื่อการมีส่วนรวมในองค์กรให้เกิดขึ้น


อย่าวุ่นกับงาน จนลืมบริหารพุง thaihealth"3 คำถามแรกที่ต้องจุดประกายคนในองค์กรให้ได้ก่อน คือ 1.ต้องยอมรับก่อนว่า อ้วนแล้วอันตราย อ้วนคือโรค ใครที่ยังคิดว่าอ้วนคือเรื่องปกติ อ้วนไม่เป็นไร ไม่ใช่ปัญหา จะไม่มีทางลดน้ำหนักได้สำเร็จ 2. อย่าโทษคนอื่นว่าเป็นตัวการ บางคนโทษคนที่บ้านทำอาหารอร่อย โทษสามีเพราะท้องลูกสามแล้วลดไม่ลง จริงๆ แล้วคนที่ทำให้อ้วนคือตัวเองทั้งสิ้น และ 3.ไม่มียาลดความอ้วน อาหารเสริม หรือหมอเทวดาใดๆ ที่จะลดความอ้วนให้คุณได้เท่ากับตัวคุณจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง" อ.สง่า กล่าว


และเสริมว่า แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอ้วนแล้วไม่ดี แต่สาเหตุที่หลายคนลดไม่ได้ เพราะขาดการจัดการ อ.ตัวที่สาม คือ อารมณ์ ซึ่งมีส่วนอย่างมากไม่น้อยกว่าอาหาร และการออกกำลังกาย  อารมณ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จของการลดพุง คือ แรงจูงใจ แรงบันดาลใจ แรงฮึด


"คนที่จะลดน้ำหนักได้สำเร็จต้องมีความหวัง ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดพลังฮึด เช่น เห็นคนอื่นที่อ้วนกว่าตั้งเยอะ หนัก 110 กิโลแต่ลดได้ เบื้องหลังที่ผู้หญิงน้ำหนักเยอะนี้ลดได้ เพราะเธอเป็นลูกคนเดียว ต้องดูแลแม่เป็นเบาหวานที่ถูกตัดขา ถ้าไม่มีเธอ ใครจะเลี้ยงแม่ ถ้าเธอป่วย ใครจะดูแลใคร ในที่สุดลดได้เพราะอยากลดเพื่อแม่ ดังนั้น ใครที่อยากลดน้ำหนักให้ได้ ต้องหาแรงบันดาลใจของตัวเองให้เจอ"


ขณะที่หนึ่งในเทคนิคการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด คือ สร้างแรงบันดาลใจลดน้ำหนักกันแบบเป็นกลุ่มหรือ Peer Group ชวนกันมาลดเป็นองค์กร เป็นครอบครัว แบ่งกันเป็นกลุ่มๆ แข่งขันกันเพื่อสร้างให้เกิดแรงจูงใจ


นอกจากนี้ การลดพุงในองค์กรยังสามารถมีบทบาทเป็น Change Agent สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม โดยดึงคนในครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมด้วยกับโครงการ


ปัจจัยสู่องค์กรลดพุงอย่างยั่งยืน


การจะก้าวสู่องค์กรไร้พุงที่ยั่งยืน ต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 3-5 ปี ซึ่งความสำเร็จอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้


1.ผู้นำองค์กรต้องลุกขึ้นมาให้ความสำคัญ บรรจุไว้ในวาระหรือแผนงานที่ชัดเจน มีแกนนำที่เอาจริงในการขับเคลื่อน กำหนดเป็น Action Plan อย่างเป็น รูปธรรมอย่าวุ่นกับงาน จนลืมบริหารพุง thaihealth


2.ต้องปลุกให้เกิดกระแสลดพุงในองค์กร กระตุ้นให้คนในองค์กรเข้าร่วมมากที่สุด สร้างค่านิยมใหม่ในองค์กร สร้างแรงจูงใจตลอดเวลา


3.ต้องสร้างปัจจัยที่เอื้อต่อการลดพุงของพนักงาน ทั้ง 3 อ. อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์


4. ต้องกำหนดเป็นนโยบายระดับองค์กร เช่น ทุกวันอังคารและพฤหัสบดี งดการใช้ลิฟท์ ทุกวันพุธเป็นวันกินผักผลไม้ วันศุกร์เป็นวันกินปลา งดจำหน่ายน้ำอัดลม ขนมหวานในองค์กร


อ.สง่า รองประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุง ฝากทิ้งท้ายสำหรับโครงการองค์กรลงพุงลดโรคว่า อยากให้แต่ละองค์กรมองว่าเป้าหมายน้ำหนักและขนาดรอบเอวที่ลดลงเป็นเพียงเส้นทางในการเดิน  จึงไม่ควรทำโครงการเพียงแค่ไฟไหม้ฟาง มองความสำเร็จเพียงแค่คนในองค์กรพุงยุบ หรือน้ำหนักลดไปเท่าไหร่  แต่เป้าหมายปลายทางที่แท้จริง คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กรที่อินเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิต ทั้งการออกกำลังกาย การปรับวิถีการกิน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดี ซึ่งต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนและความต่อเนื่องจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม.


คู่มือ "9ขั้นตอน สู่การเป็นองค์กรลดพุงลดโรค" มีให้ดาวน์โหลดฟรีที่ http://goo.gl/R82m23 และเว็บไซต์ www.happy8workplace.com


"ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดต้องเริ่มต้นจาก "วิสัยทัศน์ผู้บริหาร" เพราะถ้าผู้บริหารไม่เห็นความสำคัญ หรือไม่เอาด้วยก็ยากที่จะไปต่อ"


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code