“หมอประเวศ” ชี้ 7 ผลร้ายจากการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจ
“หมอประเวศ” ปลุกพลังปฏิรูปเปลี่ยน DNA ประเทศไทย ชี้ 7 ผลร้ายจากการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจ “การเมืองไร้คุณภาพ – รัฐประหารง่าย”แนะสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก เชื่อมโยงอปท.ทั้งประเทศกระจายอำนาจสู่มือประชาชน เสนอ 8 เส้นทางสร้างพลังชุมชนเข้มแข็ง “เอแบคโพลล์” เผย 39.2% หนุนกระจายอำนาจ อปท. ขณะที่ 1 ใน 3 อยากเห็นองค์กรอิสระดูแลการทำงานของ อปท.
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2554 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมวิชาการ “ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่น สู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 1-3 มี.ค. มีผู้บริหารส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชนและประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกว่า 1,500 คน โดยศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “เทศาภิวัฒน์ : ปฏิรูปการบริหารประเทศ” ว่า การปฏิรูปประเทศไทยที่สำคัญที่สุดคือการปฏิรูปการบริหารประเทศที่ต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง หรือเรียกว่าเทศาภิวัฒน์ เนื่องจากประเทศไทยบริหารประเทศโดยรวมศูนย์อำนาจรัฐ รูปแบบ “กรม” ให้อำนาจอยู่ในมือของคนเพียงคนเดียว คนในพื้นที่จึงไม่มีความหมายทำให้เกิดความอ่อนและส่งผลร้ายแรง 7 ประการ คือ 1.ทำให้ชุมชนท้องถิ่นอ่อนแอไม่สามารถจัดการตัวเองได้ 2.เกิดความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นกับอำนาจที่รวมศูนย์ 3.การรวมศูนย์อำนาจการศึกษา 4.ระบบราชการอ่อนแอทางปัญญา ไม่ช่วยสนับสนุนท้องถิ่นจนเป็นระบบรัฐที่ล้มเหลว 5.เกิดคอรัปชั่นอย่างหนัก 6.การเมืองไร้คุณภาพ มีการลงทุนให้ชนะการเลือกตั้งเพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และ 7.ทำให้เกิดรัฐประหารได้ง่าย การรวมศูนย์ทำให้สามารถยึดอำนาจได้ง่ายหากอำนาจกระจายให้ท้องถิ่นจะยึดอำนาจได้ยาก
“ในอนาคตผู้นำระดับชาติจะมาจากผู้นำท้องถิ่น ซึ่งขณะนี้หลายประเทศประธานาธิบดี มาจากผู้บริหารท้องถิ่น อาทิ ประธานาธิบดีหูจินเทาของประเทศจีน เพราะได้ทำงานพิสูจน์ตนเองจนสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำแต่ประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นคนรวยขึ้นมาบริหารประเทศ ดังนั้นต่อไปชุมชนจะต้องเข้ามามีความหมายมากขึ้น ผู้นำจะต้องผ่านการทดสอบจากท้องถิ่นว่าทำงานได้จริง ซื่อสัตย์ ฉะนั้น การปฏิรูปประเทศไทย คือ การปฏิวัติของประชาชน โดยรูปแบบใหม่เป็นการปฏิวัติเงียบ โดยประชาชนรวมพลังกัน ใช้ความรู้ติดอาวุธทางปัญญาและใช้สันติวิธี เชื่อว่าวิธีนี้จะเป็นพลังที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย”ศ.นพ.ประเวศ กล่าว
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า การปฏิรูปประเทศต้องสร้างความถูกต้องจากข้างล่างเป็นการสร้างความแข็งแรงให้ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้นั่นคือการสร้างองค์เจดีย์จากฐานราก ทำให้ประชาชนทุกคนเคารพศักดิ์ศรีมีคุณค่าความเป็นคน ทุกคนมีจิตสำนึกสร้างสัมมาชีพให้เต็มพื้นที่เพื่อประชาชนมีรายได้อยู่ดีกินดี การประท้วงของประชาชนในต่างประเทศ เช่น ตูนีเซีย ลิเบีย ในขณะนี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาการว่างงาน คุณภาพชีวิต ถ้าสามารถสร้างอาชีพให้ประชาชนได้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ขณะที่ระดับชุมชนที่มีอยู่ประมาณ 80,000 หมู่บ้าน ต้องมีการร่วมมือกันจัดตั้งเป็นสภาผู้นำชุมชน สภาหมู่บ้าน เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนของตนเองและเชื่อมโยงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 8,000 กว่าแห่ง ซึ่งมีเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งประเทศ เพื่อผลักดันนโยบายเป็นการจัดการตัวเอง 3 ระดับ คือ ระดับตัวเอง ระดับองค์กร และระดับนโยบายการรวมกันเป็นสภาท้องถิ่นแห่งชาติ จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและจะเป็นฐานอำนาจของประชาชนที่แข็งแรงสามารถเคลื่อนไหวในเชิงนโยบายได้เป็นผล
ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า เส้นทางที่จะทำให้เกิดชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง ประกอบด้วย 1.การสื่อสารอย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ เพราะประเทศไทยต้องการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ (DNA)โดยการใช้ประชาชนเป็นตัวตั้งเปลี่ยน 2.กรมปรับบทบาทไปสนับสนุนท้องถิ่นทางวิชาการและนโยบาย 3.ผลักดันให้เกิด 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด/สถาบันวิจัย รวบรวมองค์ความรู้ในท้องถิ่น 4.การศึกษาเพื่อชุมชนท้องถิ่น 5.ภาคธุรกิจกับความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น 6.การเงินการคลังเพื่อชุมชนท้องถิ่น อาทิ ปรับระบบการจัดเก็บภาษี โดยสนับสนุนให้ท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้น มีธนาคารชุมชนเพื่อบริหารจัดการเอง 7.ออกกฎหมายปลดพันธนาการเพื่อปลดล็อคตราสังประเทศไทย ให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง โดยเฉพาะปัญหาภัยพิบัติสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเร่งพิจารณา เพื่อป้องกันความรุนแรงในอนาคต 8.เพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นทันที
นายเทวินทร์ อินทร์จำนง ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยว่า สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ร่วมกับสมัชชาองค์กรท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย สสส.เผยผลสำรวจประชาชนเรื่อง “ความคิดเห็นต่อการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น” ในพื้นที่ 13 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 1,565 ตัวอย่าง สำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554 พบ ประชาชน 45.8% ให้ความสนใจติดตามข่าวสารขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รองลงมาคือกรุงเทพมหานคร 40% องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 37% เทศบาล 34.8% และเมืองพัทยา 16.4% โดยให้คะแนนด้านการทำงาน อบต.ดีที่สุด เชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของบุคลากร และมีผลงานก้าวหน้ารองลงมาคืออบจ. เทศบาล และกรุงเทพฯ
นายเทวินทร์ กล่าวต่อว่า กลุ่มตัวอย่าง 41.7% ระบุชุมชนมีความเข้มแข็งในการตรวจสอบการทำงานของ อปท. และ 39.2%เห็นด้วยกับแนวคิดการกระจายอำนาจให้กับ อปท. มากขึ้น เพราะประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในการปกครองและแก้ไขปัญหาร่วมกัน ขณะที่ 11.6% ไม่เห็นด้วยเพราะอาจจะทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้นและเห็นว่ารูปแบบที่เป็นอยู่ดีอยู่แล้ว ส่วนร้อยละ 49.2 ไม่มีความเห็น โดย 85.9% เห็นด้วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบการทำงานของ อปท.มากขึ้น และ 83.8%เห็นว่าควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น เช่น ที่ดิน ป่าไม้ แร่ธาตุ มีเพียง 5.6% เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย
“กลุ่มตัวอย่าง 64.9% เห็นด้วยให้มีการปฏิรูปยกร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่เพื่อพัฒนา อปท.ให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 1 ใน 3 หรือ 30.5% อยากให้มี “องค์กรอิสระ” มากำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเห็นว่าจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และตรวจสอบการทำงานได้มากขึ้น ขณะที่ 12.1% ไม่เห็นด้วยเพราะไม่มั่นใจในองค์กรอิสระเกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสมัชชาการปกครองท้องถิ่นในทุกระดับ เพื่อผลักดันการปฏิรูปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้บรรลุผลอย่างจริงจัง”
นายเทวินทร์ กล่าวและว่า ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างมีข้อเสนอแนะควรมีการสนับสนุนส่งเสริมให้การทำงานของ อปท.เป็นไปอย่างซื่อสัตย์สุจริตไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น ส่งเสริมการทำงานที่ทุ่มเทจริงจังมีการสรรหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติมีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมและเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบดูแลมากขึ้น
ที่มา : สำนักข่าว สสส.