หน้ากากมาตรฐานต้อง3ชั้น
หน้ากากอนามัยฮิต บริษัทผู้ผลิตทั้ง 7 แห่ง การันตีกับกระทรวงสาธารณสุข ‘ไม่ลดคุณภาพ – ไม่ขาดตลาด‘ แน่นอน ด้านเลขาฯ อย.บอกวิธีง่ายๆดูหน้ากากที่ได้มาตรฐานต้องมี 3 ชั้น พร้อมแนะประชาชนให้หันมาทำหน้ากากอนามัยด้วยตัวเอง ระบุทั้งประหยัดเงิน ‘ คุณภาพพอใช้ ‘ แถมใช้ได้นานกว่า
แนะสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่าปัจจุบันประเทศไทยเรามีผู้ผลิตหน้ากากอนามัยรายใหญ่ 7 แห่งแต่ละแห่งจะรับออเดอร์ผลิตให้กับต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เป็นส่วนใหญ่ ส่วนการใช้ในประเทศจะใช้วิธีการนำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนแทน
ดังนั้นในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาด ส่งผลให้ความต้องการใช้หน้ากากอนามัยในประเทศเพิ่มสูงขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เรียกบริษัทผู้ผลิตเข้าพบเพื่อขอความร่วมมือให้ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาคาดว่าจะรู้ผลในปลายเดือนกรกฎาคมนี้
สำหรับหน้ากากอนามัยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันที่นิยมใช้ มี 2 ประเภท ประกอบด้วย หน้ากากผ่าตัด มีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 5ไมครอน หรือป้องกันได้ร้อยละ 80 มีอายุการใช้งานประมาณ 3 วัน
สำหรับหน้ากากประเภทนี้มีวิธีการสวมที่ถูกต้องคือ ต้องนำด้านที่มีสีเข้มออกทางข้างนอก หรือสังเกตจากรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง ซึ่งหากใส่ผิดรอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก และถ้าหากหน้ากากเกิดการฉีกขาดหรือมีรอยเปื้อนควรทิ้งทันที
ส่วนหน้ากากประเภทที่ 2 เรียกว่า N95 สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 0.3 ไมครอน ซึ่งกรองได้ละเอียดกว่าชนิดแรก หน้ากากแบบนี้ มีทั้งชนิดที่มีวาล์วเพื่อให้หายใจได้สะดวก และชนิดที่ไม่มีวาล์ว ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าเพราะมีราคาถูก แต่ข้อเสียของมันคือ หากใส่ไปนานๆจะทำให้หายใจลำบาก จึงไม่ควรให้เด็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ใส่ เพราะอาจทำให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ ในขณะเดียวกันหาก หน้ากากเกิดชำรุดหรืออยู่ในสภาพไม่สามารถใช้งานต่อได้ควรทิ้งทันที ซึ่งข้อควรปฏิบัติพื้นฐานในการใช้หน้ากากอนามัยทั้ง 2 ประเภทคือ
1.ล้างมือให้สะอาดก่อนการสวมใส่
2.เมื่อทำการสวมใส่ควรหลีกเลี่ยงให้มือไปสัมผัสกับเนื้อผ้าบริเวณด้านในที่แนบกับจมูกและปาก เพราะในมืออาจมีเชื้อโรคทำให้เข้าสู่ร่างกายได้ ถือถ้าเป็นหน้ากากแบบผ่าตัด ต้องจับสายด้านข้างดึงแล้วร้อยกับหู ส่วนแบบ N95 ควรจับบริเวณด้านนอกเพื่อประคองและดึงสายสวม
3.ควรใส่ให้ผ้าปิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง เพื่อป้องกันเชื้อร้ายที่แฝงตัวมากับอากาศเข้าสู่ร่างกาย
4. การใส่หน้ากากอนามัยโดยดึงสายรัดให้แน่นมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องดี เพราะจะทำให้หายใจไม่สะดวก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้ใส่ควรดัดเหล็กที่เป็นโครงให้เข้ากับดั้งจมูกให้แนบสนิท เนื่องจากเป็นจุดเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเข้าสู่จมูกได้ง่าย
5.เมื่อใส่หน้ากากอนามัยแล้วไม่ควรล้วงหรือเกาบริเวณที่ผ้าปิดอยู่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับมือเข้าไปภายใต้หน้ากากอนามัยได้
เคล็ดลับดู ‘หน้ากาก‘ที่ได้มาตรฐาน
อย่างไรก็ตามเมื่อหันมาดูการวางจำหน่ายหน้ากากอนามัยตามท้องตลาดจะเห็นได้มีความแตกต่างกันโดยส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ประเภทที่ทั่วไปโดยส่วนใหญ่จะเป็นผ้า ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาได้แนะนำวิธีการเลือกซื้อหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานว่า ชนิดผ้า ต้องทำจากผ้าฝ้าย ผ้ายืดหรือผ้าสาคูเนื้อแน่นอย่างน้อยต้องเย็บ 2 ชั้น หน้ากากชนิดนี้สามารถกรองเชื้อโรคได้พอประมาณและเป็นผ้าที่สามารถซักได้ด้วยทำให้มีความประหยัดมากกว่าชนิดกระดาษ ซึ่งในขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขก็กำลังรณรงค์ให้ประชาชนทำหน้ากากอนามัยขึ้นมาใช้เองเพื่อจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลือง และการใช้ผ้าที่มีคุณภาพทำหน้ากากก็สามารถป้องกันโรคได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับหน้ากากชนิดที่สองจะถูกบรรจุให้เป็นเครื่องมือแพทย์ หน้ากากชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในโรงพยาบาลหรือวางจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป มีลักษณะเป็นเยื่อกระดาษบางๆสามชั้นในชั้นแรกจะมีสีสันต่างๆเช่น สีเหลือ สีฟ้า ส่วนช่วงกลางกระดาษจะเป็นเยื่อคล้ายกระดาษทิชชู ส่วนชั้นสุดท้ายจะมีลักษณะคล้ายชั้นแรกแต่ไม่มีสีสัน
‘หน้ากากชนิดนี้ผู้ซื้อต้องสังเกตข้างกล่องซึ่งจะเขียนว่า ‘เครื่องมือแพทย์‘หากไม่เห็นกล่องให้ดูลักษณะในข้างต้นที่สำคัญจะต้องหนาสามชั้นซึ่งก็ถือว่ามีมาตรฐานใช้ได้‘
ระบุ ‘ไม่ขาดตลาด- ไม่ขึ้นราคา‘
เมื่อไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดอย่างหนักในช่วงนี้หลายๆคนก็วิตกว่าหน้ากากอนามัยจะขาดตลาด ซึ่งในระยะแรกสถานการณ์ทั่วไปที่เห็นก็น่าจะมีความเป็นไปได้แต่เมื่อกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้ออกประกาศพร้อมกับขอความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและบริษัทผู้นำเข้าหน้ากากอนามัยปรากฏว่าได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี
เกริกชัย สุวัชรังกูร ผู้จัดการทั่วไป บริษัทมหาจักร อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าปิดปากใยสังเคราะห์ รายใหญ่แห่งหนึ่งบอกว่าการผลิตหน้ากากอนามัยโดยส่วนใหญ่มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ชิ้นละบาทกว่า โดยทางบริษัทมีการจำหน่ายชิ้นละ 2 บาท และยืนยันว่าจะไม่มีการปรับราคาในขณะนี้ แม้ราคาวัตถุดิบนำเข้าใยสังเคราะห์จะปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มการผลิตสินค้ายอมรับว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาผลิตเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากมียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากปกติถึง 300% ทำให้ต้องมีการสั่งจองล่วงหน้า เนื่องจากประชาชนตื่นตระหนกกับการป้องกันโรคมาก คล้ายกับช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาไข้หวัดนก และโรคซาร์สระบาด แต่ เชื่อว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 6 เดือน
ขณะที่อนกูล เติมธีรพรพิมล ผู้นำเข้าหน้ากากอนามัยจากจีนรายหนึ่งบอกว่า สถานการณ์การระบาดของไข้หวัด 2009 ช่วงนี้ทำให้ยอดสั่งซื้อหน้ากากอนามัยทั้งจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 300 % โดยก่อนหน้านี้จะนำเข้าจากจีนในราคาแผ่นละ1 บาท ปัจจุบันได้มีการปรับราคาเพิ่มเป็นแผ่นละ 2.50 บาทเพราะในช่วงแรกที่นำเข้ามานั้นเพราะความต้องการในประเทศสูงจึงต้องมีการจัดส่งโดยวิธีพิเศษคือส่งทางเครื่องบินแทนการขนส่งทางเรือทำให้ต้องมีการบวกราคาเพิ่ม
อย่างไรก็ตามราคาที่ปรับสูงขึ้นจะอยู่แค่ช่วงนี้ถึงกลางเดือนสิงหาคมเท่านั้นเพราะในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปสินค้าที่นำเข้าจากจีนซึ่งมีราคาต้นทุนที่แผ่นละ 1-1.50 บาทจะมาถึงประเทศไทยแล้ว
‘ช่วงนี้ประชาชนคงต้องใช้ของแพงคือเฉลี่ยราคาขายปลีกแผ่นละ 4 – 7 บาท ไปก่อนแต่หลังกลางเดือนสิงหาคมไปแล้วเชื่อว่าราคาของหน้ากากอนามัยจะลดลงเหลือแผ่นละ 2.50-3 บาทเท่านั้นเพราะการนำเข้าจากเรือขนส่งสินค้าจะมีราคาถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ จึงขอฝากประชาชนทั่วไปให้อดทนรอใช้ของดีแต่ราคาถูกในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้‘ อนกูล กล่าว
ที่มา : ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ก.ค. – 2 ส.ค. 2552
Update 23-07-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : ฤทัยรัตน์ ไกรรอด