หนุนหญิงเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่”
ลดเสี่ยงมะเร็ง-หัวใจ-เบาหวาน
เลขาธิการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ระบุหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะลดความเสี่ยงในมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ กระดูกพรุน เบาหวาน ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล เผยจับมือกระทรวงแรงงานจัดทำโครงการมุมนมแม่ในสถานประกอบการ ส่งเสริมแม่ทำงานให้สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่องจนถึง 6 เดือน
พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขาธิการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวในงานเปิดตัวโครงการมุมนมแม่ในสถานประกอบการ ระบุถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ว่า มีมากมายมหาศาล เพราะน้ำนมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ช่วยในเรื่องพัฒนาการทางด้านสติปัญญา อารมณ์ และทำให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรกหลังจากคลอด อยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพียงร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ดังนั้น ในปีนี้จึงร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร และกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่จะผลักดันให้เกิดมุมนมแม่ในสถานประกอบการ จำนวน 100 แห่ง
“การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นการถ่ายทอดวงจรที่สมบูรณ์ของเพศหญิง จากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก สหรัฐอเมริกา พบว่า แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งรังไข่ โรคกระดูกพรุน เบาหวาน ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ มากกว่าหญิงที่ไม่ได้ให้นมของตนเอง ทั้งนี้ เชื่อว่าเป็นเพราะการให้นมลูกนั้นเป็นการลดไขมันที่สะสมตามร่างกาย จึงลดความเสี่ยงของมารดาในการเกิดโรคหัวใจ และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกิน 1 ปีจะลดความเสี่ยงการเป็นโรคความดันโลหิตสูง 12% ลดความเสี่ยงเบาหวานและคอเลสเตอรอลสูงถึง 20%”
พญ.ยุพยงยังเผยอีกว่า จากการพัฒนามุมนมแม่ในสถานประกอบการนำร่อง 47 แห่ง ส่งผลให้แรงงานหญิงสามารถให้นมลูกอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรก ได้ถึง 58% จากกลุ่มผู้ใช้บริการ 200 คน สามารถลดค่าใช้จ่ายถึงเดือนละ 4,000 บาท ทั้งนี้ การจัดให้มีมุมนมแม่ในสถานที่ทำงานทำได้ไม่ยาก โดยผู้บริหารต้องมีความจริงใจ ตั้งใจ และเห็นประโยชน์ มีสถานที่มิดชิดเป็นส่วนตัว สะอาดถูกสุขอนามัย มีอ่างล้างมือ โต๊ะนั่ง มีน้ำดื่ม ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง
ทางด้านนางกชกร งามตะคุ พนักงานบริษัทอุตสาหกรรม ไหมไทย จำกัด (jim thompson) นางขวัญใจ กิจชุมพร พนักงานบริษัท อินโนเวชั่น ฟุตแวร์ จำกัด นางจุฬารัตน์ หิรัญเถกิงพันธ์ พนักงานบริษัท สยามเด็นโซ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด คุณแม่ทั้ง 3 ท่าน แม้ว่าจะทำงานกันคนละบริษัท แต่มีประสบการณ์เดียวกันคือเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
และทั้ง 3 คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปหลายพัน ทำให้อยากทำงานให้ดีที่สุด เพราะเมื่อบริษัทดูแลเรา เราก็ต้องตอบแทนบริษัทอย่างดี
นางขวัญใจ บอกว่า ตนเองนั้นหาความรู้เรื่องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จากอินเทอร์เน็ต มุมนมแม่ทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นและทำให้สะดวกสบายขึ้น “ไม่ต้องไปบีบนมในห้องน้ำ มีถุงใส่น้ำนมให้ มีตู้เย็นให้แช่ ทำให้ไม่เคยคิดเลี้ยงลูกด้วยนมผงเลย นมแม่สะดวกกว่าไม่ต้องยุ่งยาก เพราะอยู่กับตัวเรา ไปไหนก็ไปกับเรา และสามีก็ภูมิใจที่เราตั้งใจเลี้ยงลูก ทุ่มเท ให้ลูกดื่มนมแม่ สามารถไปพูดอวดกับคนอื่นได้ อีกอย่างก็ประหยัด สะดวก สะอาด”
นางจุฬารัตน์ บอกว่า รู้สึกอุ่นใจที่บริษัทได้จัดมุมนมแม่ขึ้น นั่นแสดงว่าเราจะสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ยาวนานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน เพราะจากการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ก็พบว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีผลต่อพัฒนาการที่ดีของลูก ด้วยความเป็นแม่อยากเห็นลูกเติบโตมามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ยิ้มแย้มแจ่มใส จึงตัดสินใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยใช้บริการมุมนมแม่ของบริษัทในการบีบเก็บน้ำนมใส่ถุงไว้ให้ลูกดื่มเมื่อกลับบ้าน
“นอกจากความรัก ความผูกพัน ที่ก่อเกิดมากขึ้นในระหว่างให้นมลูก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องนมผงถึง 2,500 – 3,000 บาทต่อเดือน แถมลูกยังมีร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย นอกจากนี้ เวลาเข้ามุมนมแม่ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันระหว่างแม่ที่เข้ามุมนมแม่ด้วยกัน เกิดเป็นความสามัคคีของพนักงานในบริษัทอีกด้วย” นางจุฬารัตน์เล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เชื่อว่าในอนาคตประเทศไทยจะเต็มไปด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ จากการหล่อหลอมด้วย “นมแม่” และการรวมพลังขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดมุมนมแม่ในสถานประกอบการ อันจะส่งผลดีต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update 09-07-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก
