หนังสั้น สื่อดีสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน
สสพ. จับมือ กลุ่มธรรมดีทำดี และเยาวชนผู้ผลิตหนังสั้นทางการได้ยิน ร่วมพูดคุยในรายการแมงโก้แบงโก้ของเนชั่นทีวี ชี้ หนังสั้นเป็นสะพานเชื่อมคนพิการและคนในสังคมให้เข้าใจกันมากขึ้น ผอ.สสพ. ย้ำ การดูแลคนพิการทางการได้ยินต้องเริ่มต้นที่ครอบครัว ที่ต้องเข้าใจและใส่ใจ ด้านนักวิชาการจี้รัฐขยายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆ ที่พิการทางการได้ยินมากขึ้น
ที่ห้องส่งอาคารเนชั่นทาวเวอร์ ของสถานนีโทรทัศน์เนชั่นทีวี สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ(สสพ.) กลุ่มธรรมดีทำดี และตัวแทนเยาวชนผู้บกพร่องทางการได้ยิน ที่เข้าร่วมโครงการเทศกาลหนังสั้นของผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ได้เข้าร่วมรายการ แมงโก้แบงโก้ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการผลิตหนังสั้น สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่ได้ร่วมกันจัดทำขึ้น
พญ.วัชรา ริ้วไพบูลย์ ผู้อำนวยการสถาบันเสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ(สสพ.) กล่าวในรายการแมงโก้แบงโก้เนชั่นทีวีว่า โครงการเทศกาลภาพยนตร์สั้นสำหรับผู้พิการทางการได้ยินที่เราได้จัดทำขึ้นนี้ ก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสและเปิดประตูในการสร้างความเข้าใจร่วมกันระว่างคนพิการทางการได้ยินและคนในสังคม ให้เข้าใจถึงการดำเนินชีวิตของคนพิการทางการได้ยิน ว่าจะต้องเป็นไปในรูปแบบไหนอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับ คนพิการทางการได้ยิน คือการดูแลของคนในครอบครัว เพราะบางคนเมื่อมีลูกพิการทางการได้ยินแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะดูแลเช่นไร ไม่เรียนรู้วิธีที่จะสื่อสาร หรือการใช้ภาษามือ แต่มักจะแสวงหาทางรักษาอาการไม่ได้ยินของลูก หากหมดหนทางก็รอที่จะส่งลูกเข้าโรงเรียนเด็กหูหนวก ทำให้เด็กๆ เหล่านั้น ขาดภาษาและพื้นที่เรียนรู้ ขาดจินตนาการ และเข้าไม่ถึงการศึกษา หรือเข้าถึงก็อาจจะช้าเกินไป ภาพยนตร์สั้นที่เราจัดขึ้นในครั้งนี้ จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนสะพานที่คอยเชื่อมใจ ให้คนพิการทางการได้ยิน คนในสังคม และครอบครัว เข้าใจความพิการของคนพิการทางการได้ยินเพื่อนำไปสู่การการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลและด้วยความเข้าใจมากขึ้น
ด้านนายปรเมศวร์ บุญยืน อาจารย์วิทยาลัยราชสุดา หนึ่งในที่ปรึกษาโครงการภาพยนตร์สั้นสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน กล่าวในรายการเดียวกันว่า มีเด็กที่พิการทางการได้ยินจำนวนมาก ที่ต้องการเรียนรู้เทคนิคในการถ่ายทำหนังสั้น แต่เด็กเหล่านั้นเข้าไม่ถึงโอกาส ตนจึงอยากให้รัฐเขามาช่วยหนุนเสริม ให้กับเด็กๆ เหล่านี้ด้วย เพราะตามหลักสูตรปกติของวิทยาลัยราชสุดา ในการสอนเด็กๆ ที่เป็นผู้พิการทางการได้ยินจะต้องใช้ครูทั้งหมด 6 คนขึ้นไป
โดยมีครูผู้สอน1คน และครูผู้ช่วยสอน ที่สามารถใช้ภาษามือได้เป็นอย่างดีทำหน้าที่เป็นล่าม 2 คน และยังต้องมีครูผู้ช่วยอีก 3 คน ซึ่งถือเป็นการใช้บุคคลกรการสอนที่เยอะมาก จึงจะทำให้การจัดการเรียนรู้ของเด็กมีคุณภาพ ซึ่งตนอยากให้รัฐบาลมาช่วยเหลือในส่วนนี้ให้มากขึ้น
ด้านนายมนต์ศักดิ์ ชัยวีระเดช หัวหน้าโครงการภาพยนตร์สั้นสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน กล่าวในรายการว่า เมื่อครั้งที่ตนไปอบรมให้กับน้องๆ ซึ่งเป็นผู้พิการทางการได้ยินใหม่ๆ ตนมีความเป็นกังวลในเรื่องการสื่อสารมาก เพราะไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับน้องอย่างไร แต่เมื่อได้ไปคลุกคลีและใช้ชีวิตกับน้องๆ ในการทำเวิร์คชอบ เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ และสื่อสารกันได้ โดยใช้ภาษาท่าทาง และภาษามือ ที่ตนจำมาจากน้องๆ จนได้ภาพยนตร์สั้นหลากหลายเรื่องราวในวันนี้ และยังทำให้ตนได้เข้าใจว่าความพิการ มิใช่ความผิดปกติ แต่เป็นความแตกต่าง ที่เราจะเรียนรู้ อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนต่างหาก
ขณะที่ พญ.วัชรา กล่าวย้ำในประเด็นเดียวกันนี้ว่า เด็กซึ่งเป็นผู้พิการทางการได้ยิน ถ้าผู้ปกครองไม่สามารถประคับประคองช่วยเหลือเด็กในการเรียนรู้ได้ เด็กก็จะหลุดออกจากระบบการศึกษา ได้โดยง่าย บางคนไม่รู้ว่าจะไปประกอบอาชีพอะไร ก็ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ จึงอยากให้รัฐบาลลงทุนเรื่องการพัฒนาระบบการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของเด็กหูหนวกอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
ที่มา: สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ