สสส.หนุนเกษตรกร มีสุขภาพที่ดี มีวิถีพอเพียง
สสส.หนุนเกษตรกร มีสุขภาพที่ดี-มีวิถีพอเพียง ส่งเสริมปลูก ‘ข้าวเหลือง’ พื้นบ้าน สุดทรหด-ทนน้ำท่วม-โตเร็ว ณ บ้านเนินธัมมัง จ.นครศรีธรรมราช
แม้ข้าวพื้นเมืองทางภาคใต้ อย่าง “ข้าวเหลือง” จะให้ผลผลิตไม่มากนัก แต่สามารถนำไปปลูกได้ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก จะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่น้ำท่วมนอกฤดูกาลครั้งใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2554 ที่สร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่การเกษตรอย่างใหญ่ แต่สำหรับแปลงนาที่เกษตรกรชาวนาใน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช นำไปข้าวพันธุ์เหลืองไปปลูก ปรากฏว่าไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ทั้งที่น้ำท่วมขังในนาถึง 2 ครั้ง
นายธวัชชัย มาเพ็ง ชาวนาที่บ้านเนินธัมมัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช อีกคนหนึ่งที่ปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมือง “ข้าวเหลือง” บอกว่า หลังจากที่เขาเข้าร่วมโครงการแปลงต้นแบบเกษตรนาข้าวอินทรีย์พื้นที่ดินพรุ เพื่อสุขภาพที่ดี-มีวิถีพอเพียง บ้านเนินธัมมัง ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงมีการรวมกลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมัง มีสมาชิกเริ่มต้นราว 20 ราย ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าจะร่วมกันทำธนาคารเมล็ดพันธุ์ครัวเรือน ถือเป็นการอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวและวัฒนธรรมข้าวพื้นบ้าน โดยมีการทำแปลงนาต้นแบบจากพันธุ์ข้า;พื้นเมือง มีการเริ่มต้นฤดูกาลทำนาปี 2553 โดยการทดลองปลูกหลายพันธุ์ อาทิ พันธุ์เหลือง, จงกลช่อ, ขอหอม, เล็บนกปัตตานี, เข็มทอง, กาบดำ, สังข์หยด และเฉี้ยงพัทลุง ซึ่งทั้งหมดมาจากหลายๆ พื้นที่ในภาคใต้ ขณะเดียวกันก็ปลูกข้าวหอมปทุมในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ด้วย
ผลจากการทดลอง ปรากฏว่า เกิดอุทกภัยนอกฤดูกาลในภาคใต้ถึง 2 ครั้ง ช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ปี 2554 จึงพบว่าข้าวพันธุ์เหลืองและสังข์หยด สามารถต่อสู้กับภาวะน้ำท่วมและเติบโต ออกรวง จนเก็บเกี่ยวได้สำเร็จได้ผลผลิตไร่ละ 300-350 กก. อย่างไรก็ตามข้าวพันธุ์สังข์หยดเป็นข้าวที่เหมาะกับพื้นที่ดินเหนียว แต่ที่ดินบ้านเนินธัมมังเป็นดินพรุจึงให้ผลผลิตไม่ดีนัก จึงสรุปว่าข้าว พันธุ์ที่เหมาะกับพื้นที่บ้านเนินธัมมังที่สุด ก็คือข้าวเหลือง เป็นข้าวพันธุ์ไวแสง ต้องใช้เวลาเจริญเติบโตนานจึงทำให้ข้าวสามารถเติบโตในช่วงน้ำท่วมและไปออกรวงในช่วงน้ำลด ด้วยเหตุนี้กลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมังจึงนำมาทำพันธุ์เพื่อปลูกข้าวนาปีในช่วงปลายปีนี้ต่อไป
ด้าน นายธนพล นาพนัง แกนนำโครงการแปลงต้นแบบเกษตรนาข้าวอินทรีย์พื้นที่ดินพรุเพื่อสุขภาพที่ดี-มีวิถีพอเพียง บอกว่า ตามโครงการนี้ได้เริ่มดำเนินงานเมื่อปลายปี 2553 จากการรวมตัวของชาวนาในบ้านเนินธัมมังที่ต้องการจะอนุรักษ์นาข้าวไว้เป็นธนาคารอาหารของชุมชน ไม่ให้ถูกรุกรานจากสวนปาล์มของกลุ่มนายทุน อีกทั้งการทำนาปีเป็นไปได้ยากด้วยสภาพพื้นที่เป็นแอ่งกระทะต้องรองรับน้ำจากแม่น้ำปากพนังทำให้น้ำท่วมทุกเดือนมกราคมของทุกปี
“เดิมทีชาวนาบ้านเนินธัมมังมีพื้นที่ทำนา 1,900 ไร่ ตอนนี้จึงเหลือเพียง 630 ไร่ เป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินเปรี้ยว มีค่าเป็นกรดสูงถึง พีเอช4 (ph 4) ทำให้การทำนาได้ผลผลิตไม่ค่อยดี ข้าวจะแข็ง ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อข้าวกินจากถิ่นอื่น ซึ่งจากการทดลองปลูกข้าว พื้นเมืองหลายสายพันธุ์พบว่า ข้าวพันธุ์เหลือง น่าจะเป็นเหมาะเพราะสามารถต่อสู้กับภาวะน้ำท่วมและเติบโต ออกรวงได้ดี จึงเป็นทางเลือกของชาวนาต่อไป” ธนพล กล่าว
ขณะที่ นายสมศักดิ์ มาเพ็ง แกนนำชาวนาบ้านเนินธัมมังอีกคนหนึ่ง บอกว่า นอกจากเขาจะร่วมทำนาอินทรีย์แล้ว เขายังได้ทดลองทำแปลงนาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต และมีแนวคิดที่จะต่อสู้กับสภาพพื้นดินที่เป็นดินพรุ ไม่อุ้มน้ำ มีการย่อยสลายน้อย โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ โดยทำการบริหารจัดการคันนาให้เป็นพื้นที่ปลูกผัก เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา กล้วย และข่า แล้วยังได้ขุดร่องจากคันนากับแปลงนาเพื่อเลี้ยงปลาหมอและเป็ดเทศ หากข้าวโตแล้วปล่อยปลาหมอเข้าไปในนา ซึ่งปลาหมอยังสามารถช่วยโดดจับแมลงได้อีกด้วย
เรื่อง: ดลมนัส กาเจ
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก