สสค. จับมือ สพฐ. จุดกระแสการเรียนรู้วัยมัธยม
เปิดโจทย์ใหญ่วัยมัธยม “คิดไม่เป็น-ขาดทักษะชีวิต ฉายแววเด่นไม่ถูกยอมรับ” สสค.จับมือสพฐ.จุดกระแสการเรียนรู้ ชวนโรงเรียนมัธยมร่วมพัฒนาทักษะการคิด ทักษะการชีวิต และบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แถลงข่าวเปิดตัวโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับมัธยมศึกษา ครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
รศ.ดร.จิราภรณ์ ศิริทวี ที่ปรึกษาโครงการและอดีตอาจารย์โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปรากฎการณ์ที่สำคัญด้านการศึกษาของเด็กระดับมัธยมศึกษา คือ กรณีผลการประเมินของโครงการ pisa (program for international student assessment) ในปี 2552 ซึ่งวัดคุณภาพการเรียนรู้และทักษะของนักเรียนใน 3 ด้าน คือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ จากเด็ก 65 ประเทศ พบว่าเด็กไทยกลุ่มอายุ 15 ปี มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติทุกวิชา ซึ่งต่ำกว่าผลการประเมินในครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2543
และปรากฎการณ์เด็กไทยสอบตกยกประเทศ จากผลสอบโอเน็ต โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์-อังกฤษ ทำได้ไม่ถึง 20% สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน ที่ยังขาดทักษะด้านการคิด วิเคราะห์
“โจทย์ที่สำคัญคือ เด็กไทยส่วนใหญ่เรียนแบบท่องจำ ซึ่งจะเรียนไม่ได้ผล ต้องทำให้เด็กคิดเป็น คิดอย่างมีเหตุผล ริเริ่มสร้างสรรค์ และมีวิจารณญาณ ยิ่งกว่านั้นเด็กไทยยังขาดทักษะ สะท้อนจากกรณีการท้องก่อนวัยอันควร ปัญหายาเสพติด ขาดการคิดถึงผลในระยะยาวแต่มุ่งเน้นที่การตอบสนองความต้องการที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทักษะชีวิตที่สำคัญประการหนึ่งของเด็กวัยมัธยมคือการรู้คุณค่าแห่งตน เพราะเด็กที่คิดว่าไม่เก่ง ทำไม่ได้ จะทำให้ขาดความมั่นคงในย่างก้าวของชีวิต จึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นคุณค่าในตัวเอง
ซึ่งวัยมัธยมต้นเป็นวัยที่ควรค้นพบความถนัดของตัวเอง หรือแวว ได้เด่นที่ชัดเจนที่สุด เด็กแต่ละคนจะมีแววที่โดดเด่น 1 ด้าน ใน 10 แวว ซึ่งประกอบด้วย แววผู้นำ แววนักคิด แววนักสร้างสรรค์ แววนักวิชาการ แววนักคณิตศาสตร์ แววนักวิทยาศาสตร์ แววนักภาษา แววนักกีฬา แววนักดนตรี และแววศิลปิน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่อุปสรรคในการพัฒนาตามความถนัดหรือการฉายแววของเด็กคือ ผู้ปกครองไม่ยอมรับในศักยภาพนั้น เพราะคาดหวังแววที่เป็นไปตามกระแสความนิยมของสังคม และบทบาทของครูหากไม่เข้ามาส่งเสริม แววนั้นก็จะหมดไป” รศ.ดร.จิราภรณ์ กล่าว
ด้าน นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสสค. กล่าวว่า ในการพัฒนาทักษะการคิด ทักษะชีวิต เพื่อสร้างศักยภาพของเด็กวัยมัธยมศึกษา ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการพัฒนาบุคคลากรที่มีศักยภาพ จึงเป็นที่มาของโครงการสนับสนุนโรงเรียนมัธยม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน 3 เรื่อง คือ การพัฒนาทักษะการคิด ทักษะชีวิต และการบริหารจัดการที่ดีในโรงเรียน เพราะการสอนที่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะการคิดในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ด้วยการบูรณาการร่วมกับวิชาเรียนอื่นๆ จะสามารถทำได้ด้วยการบริหารจัดการในโรงเรียนที่ดี
ทั้งนี้สสค.จะสนับสนุนใน 2 ลักษณะคือ ประเภทโครงการเดี่ยว ซึ่งเป็นการดำเนินงานของสถานศึกษา 1 แห่ง จะสนับสนุนไม่เกินโครงการละ 200,000 บาท และโครงการกลุ่ม ซึ่งเป็นการดำเนินงานเป็นกลุ่มหรือเครือข่ายสถานศึกษา จะสนับสนุนโครงการละ 200,000-700,000 บาท โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ ติดตามรายละเอียดโครงการที่นี่ครับ
ขณะที่ นางอ่องจิต เมธยะประภาส ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า จากแผนปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 และนโยบายของสพฐ. ซึ่งเน้นในเรื่องการเรียนการสอนของเด็กไทย คือ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้ ด้วยการพัฒนาทักษะชีวิต และทักษะการคิดให้อยู่ในการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังมีนโยบายการกระจายอำนาจโดยให้โรงเรียนเป็นฐานในการบริหารจัดการ เพื่อให้มีความอิสระและคล่องตัวด้านการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมปัจจุบัน โครงการของ สสค. ที่เปิดสนับสนุนให้มีการพัฒนาทักษะการคิด ทักษะชีวิต และการบริหารจัดการของสถานศึกษา จึงสอดคล้องกับการดำเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือเสริมที่สำคัญให้โรงเรียนที่สนใจได้ลงสู่ภาคปฏิบัติจริงในแต่ละพื้นที่
นายอำนวย จันทร์หอม รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารกิจการนักเรียน โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนโครงการในปีที่ผ่านมา กล่าวว่า จากที่นักเรียนได้ดำเนินโครงการค่ายเยาวชน เพื่อให้เกิดการปลูกจิตสำนึกและเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง เมื่อได้เสียสละเพื่อคนรอบข้าง ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในการใช้ชีวิตในสังคม ทำให้เกิดการเลียนแบบทั้งในเรื่องความเก่ง ที่ไม่ใช่เฉพาะต้องเรียนเก่ง แต่จะเน้นการสร้างความมั่นใจและความกล้าทั้งในเชิงศาสตร์และศิลป์ในการเอาตัวรอดในชีวิตจริง
ขณะเดียวกันผู้บริหารโรงเรียนหากไม่เข้าใจความจำเป็นในการเสริมสร้างทักษะชีวิตเด็กผ่านกิจกรรมชุมนุมก็จะละเลยไม่ออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน จึงอยากให้เด็กไทยไม่ต้องเรียนเก่งเป็นเลิศหรือแข่งขันกันแต่เพียงวิชายอดนิยม แต่มีสามารถคิดวิเคราะห์และเอาตัวรอดในสังคมก็น่าจะตอบโจทย์การเรียนรู้ทักษะชีวิต
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน