สรุปเมา-ขับพุ่ง!

จับคุมประพฤติดัดนิสัย

 

 สรุปเมา-ขับพุ่ง!

          รองอธิบดีกรมคุมประพฤติเผยสงกรานต์น้ำเมา มีผู้ถูกจับคดีเมาแล้วขับก่อนส่งตัวคุมประพฤติเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ขณะนี้รอสรุปตัวเลขอย่างเป็นทางการ ชี้ต้องทำงานบริการสังคมและอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดสถิติกระทำผิดซ้ำ ส่วนจำนวนผู้ถูกคุมประพฤติทั่วประเทศมีเกือบ 2 แสนคน คดียาเสพติดมากที่สุด

 

          นางลดาวัลย์ บุญประสพ รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมานี้ สาเหตุหลักยังคงเกิดจากการเมาแล้วขับ คิดเป็นร้อยละ  40.66 แต่ยังไม่มีการสรุปตัวเลขของผู้ถูกจับในคดีเมาแล้วขับอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ทราบว่ามีผู้กระทำผิดขับขี่ในระหว่างเมาสุราเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับเทศกาลสงกรานต์ปี 2551  มีผู้ถูกจับจำนวน  3,604 ราย โดยผู้กระทำผิดจะถูกลงโทษตาม  พ.ร.บ.จราจรทางบก คือ นอกจากถูกปรับแล้ว ศาลจะกำหนดให้ผู้กระทำผิดรอการลงโทษ และอยู่ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติเป็นระยะเวลา 1 ปี

 

          นางลดาวัลย์กล่าวว่า ผู้ที่ถูกศาลสั่งคุมประพฤตินั้น จะต้องทำงานบริการสังคมและเข้ารับการอบรม  เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม  กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ที่ทำขึ้นอยู่กับความถนัดและความสมัครใจ  ไม่มีการบังคับและไม่ให้เกิดความอับอายต่อสาธารณชน  ชั่วโมงการทำงานตั้งแต่  12  ชั่วโมงขึ้นไป  แต่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของศาลว่า  มีพฤติการณ์แห่งความผิดและก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินและบุคคลอื่นอย่างรุนแรงมากน้อยเพียงใด

 

          “การทำงานบริการสังคมจะเป็นการชดเชยความผิดหรือความเสียหายที่เกิดขึ้น และพบว่าผู้กระทำผิดคดีเมาแล้วขับจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเห็นผลได้ชัด  เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้กระทำผิดโดยนิสัย  เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้  เมื่อพ้นจากการถูกคุมประพฤติแล้วมักจะไม่กระทำผิดซ้ำ  สถิติโดยเฉลี่ยมีผู้กระทำผิดซ้ำไม่ถึงร้อยละ  20″ นางลดาวัลย์กล่าว

 

          รองอธิบดีกรมคุมประพฤติกล่าวอีกว่า หลักการคุมประพฤติและทำงานบริการสังคมจะอยู่ในพื้นที่ตั้งของศาล แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีผู้ขับขี่เดินทางไปต่างจังหวัดเป็นจำนวนมากนั้น หากผู้กระทำผิดมีถิ่นฐานอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ถูกตำรวจจับและส่งฟ้องศาลที่ต่างจังหวัด ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานบริการสังคมในต่างจังหวัด โดยสามารถทำเรื่องร้องขอต่อสำนักงานคุมประพฤติในแต่ละจังหวัด  เพื่อให้ส่งตัวมาที่กรุงเทพฯ ได้เช่นกัน

 

          นอกเหนือจากมีผู้กระทำผิดคดีเมาแล้วขับที่ถูกคุมประพฤติแล้ว ยังมีผู้กระทำผิดในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งมีจำนวนมากเป็นอันดับหนึ่งและเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สถิติการก่ออาชญากรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์ ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมประพฤติทั่วประเทศเกือบ 2 แสนคน และมีแนวโน้มว่าจะพุ่งสูงขึ้น

 

          “ผู้ถูกกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจะถูกคุมประพฤติเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยแบ่งเป็นผู้เสพที่ต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และผู้ครอบครองยาเสพติดในจำนวนที่กฎหมายกำหนด แต่ไม่ถึงกับถูกจำคุก โดยจะผ่านกระบวนการคุมประพฤติอย่างเข้มข้น การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด การเข้าค่ายอบรมธรรมะ เป็นต้น” นางลดาวัลย์กล่าว

 

          ด้านนายคำรณ  ชูเดชา  ผู้ประสานงานเครือข่ายป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวถึงตัวเลขผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า รู้สึกผิดหวังในมาตรการของรัฐบาล ที่ไม่มีความพยายามในการป้องกันเหตุจากน้ำเมาในช่วงสงกรานต์อย่างประสิทธิภาพ เห็นได้จากตัวเลขผู้เสียชีวิต 373 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 5 ราย แม้จะมีการตั้งจุดตรวจเพิ่มเป็น 70,000 จุด และสูญเงินไปกว่า 980 ล้านบาท

 

          นายคำรณระบุว่า พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายฯ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ  เนื่องจากเป็นผู้ตัดสินใจผิดพลาดและมีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมีธุรกิจน้ำเมาของตนเอง  โดยในวันที่ 21 เม.ย.นี้ ทางเครือข่ายฯ จะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมาดำเนินการด้วยตัวเอง  โดยการออกมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ปีหน้า

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

update 20-04-52

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code