สธ.พบเชื้อโรคดื้อยาสูงในรอบ 10 ปี

สธ.พบเชื้อโรคดื้อยาสูงในรอบ 10 ปี ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในปีนี้องค์การอนามัยโลกได้กำหนดประเด็นปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ให้ประเทศสมาชิกรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน กลุ่มผู้ให้บริการสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจำหน่ายยา และประชาชนทั่วไป ในการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยเน้นหลักการคือ หนึ่งอย่าใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นหรือหากจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ให้ใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยต้องนอนรักษาตัวนานขึ้น เสียเงินค่ารักษาแพงขึ้น เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาแพร่ระบาด โดยกำหนดคำขวัญว่า “ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง ป้องกันเชื้อดื้อยา เพื่อการรักษาที่ได้ผล” (combat drug resistance – no action today, no cure tomorrow)

สำหรับประเทศไทย จากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียมานานกว่า 10 ปี ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า เชื้อแบคทีเรียที่มีการดื้อยาสูงขึ้น ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างเชื้อแบคทีเรียที่มีปัญหาดื้อยา ได้แก่ 1.เชื้อสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนีย (streptococcus pneumoniae) ที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม และเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดื้อยาเพนนิซิลินและยาอิริโธมัยซิน รวมถึงยาตัวใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาทดแทน 2.เชื้ออี โคไล (escherichia coli) ที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ และการติดเชื้อในช่องท้อง ดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มที่ออกฤทธิ์กว้าง คือสามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด และยาในกลุ่มฟลูโอโรควิโนโลน fluoroquinolone ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่หาซื้อได้ง่าย มีผลข้างเคียงน้อย จึงทำให้มีการใช้เกินความจำเป็นอย่างมากทั้งในคนและในสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม การดื้อยากลุ่มนี้จึงเป็นปัญหาอย่างมากต่อการรักษาโรคติดเชื้อ

3.เชื้ออะซีนีโตแบคเตอร์ บอแมนนิอาย (acinetobacter baumannii) เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในโรงพยาบาล พบมีการระบาดของเชื้อชนิดนี้ที่ดื้อยาทุกชนิด ดื้อยากลุ่มคาบาพีเนม ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อได้มากชนิดที่สุด และยาเซฟโฟเพอราโซน/ซาลแบคแทม ซึ่งเป็นยาด่านสุดท้ายที่ใช้ในการรักษาเชื้อนี้ และ 4.เชื้อสูโดโมแนส แอรูจิโนซา (pseudomonas aeruginosa) ซึ่งเป็นเชื้อฉวยโอกาสทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ และระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งขณะนี้มีการดื้อยาแล้ว

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

Shares:
QR Code :
QR Code