“วิทยา”แนะต้องปรับปรุงกฎหมายควบคุมยาสูบไทย 2 ฉบับ

 

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยเตรียมออก 5 มาตรการลดนักสูบรายเก่า ป้องกันนักสูบหน้าใหม่ โดยจะปรับปรุงกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบของไทย 2 ฉบับที่ใช้มา 19 ปี  ให้ทันสมัยสอดคล้องกับกฎหมายควบคุมยาสูบโลก ส่วนที่เป็นปัญหาของไทยคือการห้ามโฆษณาและส่งเสริมการขายทางอินเทอร์เน็ต  และการสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ของบริษัทบุหรี่ 

ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ“บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ”ครั้งที่ 10 จัดโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และองค์กรภาคีด้านการควบคุมการบริโภคยาสูบ   ระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 2554  มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 600   คน  ประเด็นหลักการประชุมครั้งนี้คือ การดำเนินการตามกรอบกฎหมายควบคุมยาสูบโลก เพื่อให้สังคมไทยไร้ควันบุหรี่  และให้กับบุคลากรแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชื่อมโยงภาคีเครือข่าย ส่งเสริมการทำงานของประชาคม ผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะ ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมการบริโภคยาสูบของไทยในอนาคต

นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทย ได้เร่งดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบของคนไทย ให้เป็นไปตามกรอบอนุสัญญาควบคุมการบริโภคยาสูบโลกหรือกฎหมายควบคุมยาสูบโลก ขององค์การอนามัยโลก (WHO Framework Convention on Tobacco Control : FCTC) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 มีสมาชิกมากกว่า 170 ประเทศ ร่วมลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว รวมทั้งประเทศไทยด้วย   ซึ่งเป็นอนุสัญญาฉบับเดียวของโลกที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและใช้เป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นไม่ให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแพร่ขยายวงออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา ลดการเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่  และคุ้มครองประชากรโลกให้ปลอดภัยจากพิษภัยบุหรี่ ซึ่งมีสารพิษอันตรายต่อสุขภาพกว่า 4,000 ชนิดอยู่ในบุหรี่ที่เผาไหม้เพียง 1 มวน และมีสารก่อมะเร็ง 42 ชนิด

นายวิทยากล่าวต่อว่าผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติ 2 ฉบับ คือพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่พ.ศ.2535 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราการสูบบุหรี่โดยรวมของประเทศไทยลดลงมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบในการควบคุมการบริโภคยาสูบในปัจจุบันคือกฎหมายของไทยไม่ทันสมัย เนื่องจากใช้มานาน 19 ปี  โดยเฉพาะเรื่องการห้ามโฆษณาและส่งเสริมการขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต รวมถึงการห้ามการสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ  ซึ่งถือเป็นการโฆษณาและส่งเสริมการขายทางอ้อม ดังนั้นการควบคุมการบริโภคยาสูบ จึงต้องอาศัยกฎหมายโลกเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย  และต้องเร่งดำเนินการเพิ่มความเข้มแข็งของกฎหมายไทยด้วย

ทั้งนี้ ผลการสำรวจการบริโภคยาสูบในผู้ใหญ่ล่าสุด ในปี 2552 ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีอัตราการสูบเฉลี่ยร้อยละ 21 หรือประมาณ 12 ล้าน 5 แสนคน เสียเงินซื้อบุหรี่สูบเดือนละ 576 บาท     โดยเพศชายสูบร้อยละ 40  เพศหญิงสูบร้อยละ 2  และยังมีผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่สูดดมสัมผัสควันบุหรี่ที่คนอื่นสูบ  ซึ่งเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากโรคที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น  รัฐบาลต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก โดยสัมผัสที่ตลาดสดหรือตลาดนัดสูงถึงร้อยละ 54  ในบ้านร้อยละ 39 และสถานที่ทำงานร้อยละ 27

 

 

ที่มา : เว็บไซต์สำนักโฆษกรัฐบาล

Shares:
QR Code :
QR Code