“วันสตรีสากล 54″…ฝากสื่อทีวี ช่วยลดกดขี่ทางเพศ
ตามตัวบทกฎหมายแม่อย่างรัฐธรรมนูญมีการบัญญัติถึงความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง มีกฎหมายลูกบัญญัติไว้ถึงชายที่ต้องพึงสังวรในการปฏิบัติต่อหญิง ต่อเด็ก ต่อคนชรา ในทุกกรณีมีบทลงโทษไว้ ไม่มียกเว้นแม้แต่เรื่องของคนในครอบครัวหรือเรื่องผัวเมีย พ่อแม่ลูก แต่เอาเข้าจริง การที่สังคมผู้ชายจะยอมรับตัวหนังสือแล้วสำนึกต่อการปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายก็ยังดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามนั้นสักกี่มากน้อย
ความเป็นสังคมประเทศกำลังพัฒนาจะเป็นข้ออ้างหนึ่งหรือไม่ ที่ยังทำให้ชายหรือผู้มีกำลังกว่าทั้งในรูปของร่างกายและอำนาจอิทธิพลแฝงตั้งแต่เงินตราไปจนกระทั่งตำแหน่งหน้าที่การงาน อันล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ของความป่าเถื่อนโดยใช้ความเป็นอารยะเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความป่าเถื่อนนั้นสู่ผู้ด้อยกว่ากลมกลืนไปกับความเชื่อดั้งเดิมปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้มีกำลังน้อยต้องถูกผู้มีกำลังมากทารุณรังแก นั่นคือ หญิงถูกชายกดขี่ข่มเหง เด็กก็เช่นกัน ถูกผู้ใหญ่ข่มเหงในทุกรูปแบบ ทั้งที่มีกฎหมาย(ตัวหนังสือ) กำหนดห้ามไว้ชัดเจนแล้วก็ตาม
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ เวลา 10.00น. มูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันสตรีสากลประจำปี 2554 ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ภายใต้หัวข้อ “ผู้หญิงในศิลปวัฒนธรรมและการเปลี่ยนผ่าน”
คณะผู้จัดได้ตระหนักตรงกันว่าสื่อทุกรูปแบบมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยสร้างสำนึกของทุกคนให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ กระตุ้นให้เกิดการซึมซับหล่อหลอมปลูกฝังการยอมรับความเท่าเทียม แม้ในหลักการปฏิบัติตามสังคมมีตัวบทกฎหมายเป็นเครื่องกำหนด แต่ที่ทุกคนต้องยึดเป็นหลักสู่การปฏิบัติต่อกัน คือ คุณธรรมจริยธรรมเป็นต้นว่าพรหมวิหารสี่ที่สื่อมวลชนต้องมีบทบาทอย่างมาก
การจัดกิจกรรมในวันสตรีสากลปีนี้ คณะผู้จัดจึงได้เชิญสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งผู้เขียน ผู้กำกับภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์ นักดนตรี นักแต่งเพลงนักกวี มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อสะท้อนบทบาทของผู้หญิงในสังคมที่เจริญแล้วผ่านตัวหนังสือที่ระบุถึงความเท่าเทียมกัน
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ในวันที่ 8มี.ค.ของทุกปีถือเป็นวันสตรีสากล ที่ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญและยอมรับผู้หญิงมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังมีผู้หญิงถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคม แม้หลายหน่วยงานจะให้ความสำคัญในการรณรงค์เพื่อลดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี แต่สถิติความรุนแรงที่ผ่านมาก็ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
“จากการให้บริการคำปรึกษาของมูลนิธิเพื่อนหญิง ทั้งด้านนักสังคมสงเคราะห์ กฎหมาย และคดีความ ปี 2552มีผู้ขอคำปรึกษามากถึง 775รายแบ่งเป็นความรุนแรงในครอบครัว 668ราย หรือร้อยละ 86มากที่สุดคือเป็นกรณีสามีมีหญิงอื่น รองลงมาคือสามีไม่รับผิดชอบ โดยมีสุราเป็นปัจจัยกระตุ้นทางด้านข่าวสารก็มีข่าวการละเมิดทางเพศ มีมากถึง271ข่าว โดยมีผู้ถูกกระทำทั้งหมด 331ราย ผู้กระทำ485ราย ส่วนใหญ่โดนข่มขืน รุมโทรม อนาจารอย่างไรก็ตาม หวังว่าในวันสตรีสากลนี้ คงเป็นวันที่จะสร้างมิติใหม่ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงในผู้หญิงและเด็กลดลง และผู้ชายคงจะเปลี่ยนค่านิยมให้เกียรติผู้หญิงมากขึ้น” นายจะเด็จกล่าว
ขณะที่นายจักรกฤษ ศิลปะชัย ดีเจจากคลื่นเพลงประชาชน และ Yes เรดิโอ กล่าวว่า หากมองไปในเชิงศิลปวัฒนธรรมที่มองผู้หญิงไปในแง่มุมของการให้เกียรติ การเชิดชูผู้หญิง ก็ถือว่ามีหลายบทเพลงที่สะท้อนออกในแนวทางที่สร้างสรรค์ สื่อถึงผู้ชายว่าความรักห้ามมีการครอบครอง แต่ต้องเต็มใจให้ อย่างไรก็ตามหากผู้ชายสามารถมองแง่มุมที่สะท้อนออกมาในเพลงได้ สังคมในปัจจุบันผู้หญิงคงไม่ต้องระวังตัวมากขนาดนี้ และคดีข่มขืนคงจะมีน้อยลง ปัญหาทำแท้งลดลง
“อย่ามองว่าการกดขี่ข่มเหงเป็นเรื่องธรรมดาผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือทางเพศ ควรมองว่าผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะ สื่อ ครอบครัวสถาบันการศึกษา เพราะตอนนี้สังคมเปิดกว้างมากขึ้นดังนั้น สื่อที่นำเสนอในรูปแบบของทำนองเพลงเนื้อเพลงต้องปรับเปลี่ยนแนว ควรทำแนวเพลงที่สร้างสรรค์สังคมขึ้นมาทดแทน” นายจักรกฤษ กล่าว
ด้านนายยิ่งยศ ปัญญา นักเขียนบทประพันธ์โทรทัศน์ “ผู้ใหญ่ลีกับนางมา” ทางช่อง 3 กล่าวว่าการถ่ายทอดบทละครในปัจจุบันถือว่าเป็นการสะท้อนสังคมได้เป็นอย่างดี เพราะละครถือเป็นตัวชี้นำสังคม และถ่ายทอดว่าคนในสังคมมีความรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะตัวละครผู้หญิงก็ถือเป็นตัวสะท้อนสังคมที่กำลังเป็นอยู่ ซึ่งฉาก ตบตี ริษยาอาฆาต ช่วงชิง จะมีในละครทุกเรื่อง ส่วนละครน้ำดีก็มีให้เห็น แต่ยังไม่ได้รับการถูกเผยแพร่เท่าที่ควรดังนั้นในฐานะคนทำละคร ต้องจับจ้องความเป็นไปของโลกด้วยความเป็นกลาง
นายยิ่งยศ กล่าวว่า จริงๆ แล้วคนที่จะเข้ามาทำอาชีพของคนเขียนบทโทรทัศน์ จะต้องมีพื้นฐานและสามัญสำนึกในการประกอบวิชาชีพเพราะเราเขียนบทละครให้คนดูทั้งประเทศต้องนำเสนอในด้านบวกกับคนดู มีทางออกให้ผู้หญิงในตัวละคร และต้องให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเลือกไม่ใช่ฝ่ายถูกเลือก แต่การสร้างละครตอนนี้ผู้หญิงกลับยอมจำนนที่จะเป็นฝ่ายให้ถูกเลือก ซึ่งคนเขียนบทรุ่นใหม่ตอนนี้มักจะมีลีลาการเขียนบทที่หวือหวา เป็นที่น่าตื่นเต้น แต่เมื่อนำเสนอแล้วอาจพบว่ามีจุดที่พบพร่อง ดังนั้น การนำเสนอไม่ควรทำให้สังคมเข้าใจผิดหรือการที่ผู้เขียนยังบอกสังคมไม่หมด
“บางครั้งคนดูก็อันตรายเพราะชอบกำหนดทิศทางความเป็นไปของตัวละครจนทำให้ผู้จัดต้องทำตาม ซึ่งถือเป็นเรื่องทุนนิยมที่ห่อหุ้มอยู่ เพราะไม่มีใครอยากขัดใจคนดู และบางค่ายมีให้คนดูส่งเอสเอ็มเอสเข้ามาโหวต ว่าตอนจบอยากให้จบแบบไหน ถือเป็นช่องทางการหารายได้ การทำตามโจทย์ของผู้จัด หรือผู้กำกับต้องการ อาจทำให้การเขียนบทประพันธ์เปลี่ยนทิศทางได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องขององค์ประกอบ และมีผลมาจากทุนนิยม ที่ต้องการรองรับเรื่องของธุรกิจเพียงอย่างเดียว” นายยิ่งยศ กล่าว
สื่อทุกแนวพูดตรงกัน ในอีกไม่นานจึงน่าจะได้สัมผัสเนื้อหาผ่านสื่อทุกประเภทที่ไม่แสดงความทารุณโหดร้ายเกินความเป็นคน โดยเฉพาะภาพการกดขี่ทางเพศดังที่กรอกหูกลอกตาทุกวันทุกคนไม่มีกลิ่นอายของพรหมวิหารสี่ฉาบทาแม้แต่นิดเดียว
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ