วอนรัฐแก้จริงน้ำเมามอมเด็ก วอนนายกฯ แก้ปัญหาน้ำเมามอมเยาวชน

 

แฉเล่ห์ร้านกาแฟเย็น ขายเหล้าปั่น จี้รัฐเอาจริงจัดโซนนิ่งร้านเหล้ารอบสถานศึกษา ก่อนที่เด็กจะถูกมอมเมายิ่งกว่านี้ นักวิชาการแฉเล่ห์ร้านค้า เช้าขายกาแฟ เย็นขายเหล้าปั่น จี้รัฐจัดโซนนิ่งร้านเหล้ารอบสถานศึกษา เสนอนายกฯ นั่งหัวโต๊ะ เหตุก่อปัญหาสังคมเพียบ

ร้านเหล้า

ที่โรงแรมฮิพ รัชดาฯ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) จัดเสวนาผ่าทางตัน ร้านเหล้ารอบสถานศึกษา มีคณาจารย์และนิสิตนักศึกษาจาก 15 มหาวิทยาลัยเข้าร่วมการเสวนา โดย นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศมีกฎหมายมาดูแลเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่เยอะ แต่มีโทษน้อย และไม่มีการบังคับใช้กฎ หมายอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี การห้ามจำหน่ายในสถานที่ต้องห้าม จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเปิดร้านเหล้ารอบสถานศึกษาเป็นจำนวนมาก

นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล

นายปริญญา กล่าวว่า แนวทางการจัดระเบียบร้านเหล้ารอบสถานศึกษา นอกจากการจัดโซนนิ่งแล้วควรมีคณะรัฐมนตรีด้านสังคมเกิดขึ้น โดยมีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง 6 กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระ ทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม ประชุมร่วมกันเดือนละ 2 ครั้ง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อแก้ปัญหาร้านเหล้ารอบสถานศึกษาอย่างบูรณาการ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นอาจจะต้องหารือกันอีกครั้งเพื่อจัดทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดูแลการเปิดร้านค้ารอบสถานศึกษาของมหาวิทยาลัยนำร่อง 15 แห่ง

“ข้อสำคัญคือต้องโทษเราเอง โดยเฉพาะการศึกษาของไทยที่ไม่ค่อยสอนให้คิดและรับผิดชอบ จะสอนกันแบบท่องจำอย่างเดียว โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาที่ทำอยู่ ยิ่งเพิ่มเรื่องการท่องจำโดยไม่ได้สอนเรื่องการคิดเช่นเดิม จึงทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกัน การศึกษาของบ้านเราทำให้คนเป็นปลาหมึก และร้านเหล้าคือเรือประมงที่มาตกหมึก เปิดสปอตไลต์ล่อปลาหมึก เมื่อเปรียบเทียบกับร้านเหล้าก็เหมือนไฟล่อ ดังนั้นตราบใดที่เรายังเป็นอย่างนี้กันอยู่ จึงต้องพูดเรื่องการควบคุมร้านเหล้ารอบสถานศึกษาอยู่อย่างนี้” นายปริญญากล่าว

นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การควบคุมแอลกอฮอล์ทำได้ยาก เพราะเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลและมีผลประโยชน์มากมาย แต่วิธีการที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมีเห็น 3 มาตรการ คือ 1.การเพิ่มภาษี 2.ควบคุมการซื้อขายที่ง่ายเกินไป ทั้งบุคคล วัน เวลา และสถานที่ 3.ควบคุมการโฆษณา โดยในแง่ของกฎหมายนั้นจะต้องต่อเนื่องและจริงจัง ไม่ใช่การเพิ่มโทษทางกฎหมายแต่อย่างใด เพราะไม่ว่ากฎหมายจะแรงขนาดไหน หากคนทั่วไปรู้ว่าโอกาสถูกตรวจสอบไม่มากจึงยังมีการทำผิดอยู่ กระทรวงสาธารณสุขจึงพยายามสร้างบรรยากาศการตระหนักรู้ถึงการตรวจสอบ ไม่ว่าจะในกลุ่มผู้มีอิทธิพลก็ตาม แต่กระทรวงสาธารณสุขทำฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งตำรวจ นักศึกษา อาจารย์ ช่วยเป็นหูเป็นตา

นพ.สมาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราพยายามเสนอกฎหมายลูกใน พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 4 ตัว คือ 1.ควบคุมการเปิดร้านเหล้ารอบสถานศึกษา 2.การควบคุมเหล้าปั่น 3.ควบคุมการออกฉลาก และ 4.ควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท้ายยานพาหนะ แต่ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ในสมัยรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเราพยายามชงเรื่องตลอด แต่ก็ได้รับการตอบสนองด้วยวิธีการแบบโบราณ คือการตั้งอนุกรรมการพิจารณาผลกระทบที่จะได้รับจากการมีกฎหมายลูกเหล่านี้ ขณะนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะเสนอกฎหมายเหล่านี้อีกครั้งผ่านคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ นอกจากนี้ เรายังเสนอกฎหมายควบคุมการดื่มสุราในโรงงานอุตสาหกรรม และห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสนามกีฬา

ด้าน นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผอ.ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า เด็กที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีความสามารถทางสมองไม่เต็มร้อย จากสิถิติพบว่าผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ทำให้มีโอกาสในการตั้งครรภ์สูงกว่าคนปกติถึง 3 เท่า ที่สำคัญคือตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว และยังคงดื่มแอลกอฮอล์ต่อ ก่อให้เกิดผลเสียกับทารกในครรภ์ เช่น มีโอกาสแท้งสูง หรือหากเกิดมาจะมีอาการทางสมอง ผิดปกติทางกายภาพ

“พฤติกรรมที่จะต้องจับตามองเมื่อเด็กเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือ การเริ่มขาดความรับผิดชอบ เช่น ไม่สามารถไปเรียนหนังสือ ซึ่งเฉลี่ยแล้วเด็กไทยดื่มหนักมากกว่าประชาชนทั่วไปถึง 30% หรือคนละ 4 ขวดของเบียร์ไทย ซึ่งถือว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์สูงมาก ส่วนเด็กผู้หญิงเฉลี่ยแล้ว 2 ขวดต่อคน ซึ่งเป็นอัตราการดื่มที่สูงกว่าผู้ใหญ่มากเช่นกัน” นพ.ทักษพลกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code