ร้อนทะลุ “40 องศา” หมอเตือน ลมแดด!

ร้ายสุดอาจเสียชีวิตได้

 

ร้อนทะลุ “40 องศา” หมอเตือน ลมแดด!

          ไทยอากาศร้อนแดดแรงสุดๆ เผยหลายจังหวัดในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อุณหภูมิทะลุ 40 องศาเซลเซียสไปแล้ว เผยที่ตากร้อนตับแตกเมื่อวันที่ 5 เม.ย. วัดได้ 43.4 องศาเซลเซียส กรมอุตุนิยมวิทยาระบุเกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำ เนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทย จึงทำให้หลายพื้นที่มีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ด้านแพทย์เตือนระวังอันตรายจากลมแดดที่อาจทำให้เสียชีวิตได้

 

          เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้บางจังหวัด อาทิ จ.ตาก บุรีรัมย์ ลำปาง ชัยภูมิ และนครสวรรค์ อุณหภูมิสูงสุดทะลุ 40 องศาเซลเซียสไปแล้ว โดยนายชูเกียรติ ไทยจรัสเสถียร นักอุตุนิยมวิทยาชำนาญการพิเศษ เปิดเผยว่า จากผลการตรวจในวันเดียวกันนี้พบว่าหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุณหภูมิเกิน 40 องศาเซลเซียสไปแล้ว จากผลการตรวจวัดพบว่าที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ มีอุณหภูมิสูงถึง 40.3 องศาเซลเซียส จ.ชัยภูมิ 40.0 องศาเซล เซียส จ.มุกดาหาร 40.1 องศาเซลเซียส จ.หนอง บัวลำภู 40.2 องศาเซลเซียส จ.เลย 41.7 องศาเซลเซียส ภาคเหนือพบที่ อ.เถิน จ.ลำปาง 42.3 องศาเซลเซียส จ.ตาก 41.4 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิสูงสุดตั้งแต่วัดมาในปี 2553 เกิดขึ้น  เมื่อวันที่ 5 เม.ย. อยู่ที่ 43.4 สำหรับ จ.ตากนั้นพบว่าช่วงเดือนมี.ค. มีอุณหภูมิเกิน 40 องศาเซลเซียสมาแล้วในช่วงระหว่างวันที่ 7-9 มี.ค. ส่วนภาคกลางที่ จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.ลพ บุรี จ.กาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยเกิน 40 องศาเซลเซียส

 

          “ที่กล่าวมาเป็นอุณหภูมิในช่วง 16.00 น. ซึ่งเลยช่วงที่พีกที่สุดของวันมาแล้ว สภาพอากาศในช่วงนี้เกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำ เนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทย จึงทำให้หลายพื้นที่มีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ถือเป็นสภาพปกติของหน้าร้อน ส่วนใหญ่ตัวหย่อมนี้จะเกิดจากลักษณะของฤดูกาล ที่มีกระแสลมมาจากทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ลักษณะกระแส  ลมเป็นลมใต้ ลมตะวันออกเฉียงใต้บีบเข้ามา  ซึ่งก่อนหน้านี้ความกดอากาศสูงปกคลุมอยู่ แต่บริเวณผิวพื้นจะมองไม่เห็นว่าเป็นความกดอากาศสูง เพราะปกคลุมอยู่ในระดับชั้นบน    ตัวลมที่เข้ามาเป็นลมชื้นเคลื่อนออกไปไม่ได้ เหมือน เราเอาถุงพลาสติกมารัดหนังยางไว้ เมื่ออากาศไปไหนไม่ได้จึงเกิดเป็นน้ำ ทำให้รู้สึก อบอ้าวมากๆ” นักอุตุนิยมวิทยาฯกล่าว

 

          นายชูเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับวันที่อากาศร้อนที่สุดในประเทศไทย จากสถิติบันทึกไว้คือวันที่ 27 เม.ย. 2503 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ที่จ.อุตรดิตถ์ อุณหภูมิสูงถึง 44.5 องศาเซลเซียส จากการคาดการณ์ของศูนย์ภูมิอากาศแห่งชาติ คาดว่าช่วงค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปของเดือนเม.ย.นี้ อุณหภูมิจะสูงมากกว่าปกติ เดือนพ.ค. ก็จะสูงกว่าปกติ ในกทม. ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 37-39 องศาเซลเซียส แต่จากการตรวจวัดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อเดือนที่ผ่านมาพบว่า อุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเพราะความร้อนจากถนนและรถยนต์ เป็นองค์ประกอบที่เพิ่มความร้อนด้วย ทั้งนี้คาดการว่าปีนี้ถึงอากาศจะร้อนถึงร้อนมาก แต่จะไม่ยาวนานเกินกลางเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูฝน

 

          “ช่วงนี้ยังคงร้อนต่อเนื่องไปอีกหลายวัน อากาศที่ร้อนนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานๆ โดยไม่มีเครื่องป้องกัน ควรพกร่ม หมวก หรือดื่มน้ำให้มากๆ ก็จะสามารถให้ความร้อนที่สะสมในร่างกายคลายลงไปได้ นอกจากนี้ในหลายๆ พื้นที่จะเห็นว่าแสงแดดค่อนข้างแรง เวลาเราออกกลางแดดควรใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวีสัมผัสผิวหนัง ซึ่งจะเป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งผิว หนังได้ และในช่วงรอยต่อระหว่างหน้าร้อนกับหน้าฝนนั้น อาจเกิดพายุฝนฟ้าคะนองได้ และเวลาเกิดจะรุนแรงมากว่าในช่วงปลายฝนต้นฤดูหนาว ส่วนใหญ่เวลาเกิดฝนฟ้าคะนองจะมีลมกระโชกแรงบางครั้งจะมีลูกเห็บด้วย สำหรับบ้านไหนที่มีกิ่งไม้ใกล้บ้านควรตัดแต่งกิ่ง และหลีกเลี่ยงอยู่ใกล้สิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรง เวลาที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง” นายชูเกียรติกล่าว

 

          นายชูเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการสรุปผลรายงานประจำวันเดียวกันนี้พบว่า ภาคเหนือ   มีอากาศร้อนที่สุด อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 43.1 องศาเซลเซียส ซึ่งมีถึงสองจังหวัด คือ อ.เมือง จ.ตาก และ อ.เถิน จ.ลำปาง ส่วนภาคต่างๆ ที่มีสภาพอากาศร้อนที่สุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 42.4 องศาเซลเซียส ที่อ.เมือง จ.เลย ภาคตะวันออก อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 40.0 องศาเซลเซียส ที่อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ภาคกลาง อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 41.0 ที่อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ภาคใต้อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 38 องศาเซลเซียส ที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรี ขันธ์ และกทม.อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้อยู่ที่ 36.9 องศาเซลเซียส ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 

          วันเดียวกัน น.พ.นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยอุณหภูมิร้อนจัดอุณหภูมิเกิน 40 องซาเซลเซียส ว่า ร่างกายมนุษย์สามารถทนความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ไม่มากนัก หากร้อนจัด เย็นจัด ก็สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เมื่ออากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นจึงจำเป็นต้องมีวิธีหลีกเลี่ยง และป้องกัน เพื่อให้ร่างกายไม่เกิดอุณหภูมิเปลี่ยน แปลงมากจนเกินไป อากาศร้อนจัด เสียเหงื่อมาก ทำให้เลือดข้น ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ ทำให้เป็นลม ช็อก และเสียชีวิตได้ ควรหลีกเลี่ยงทำกิจกรรมกลางแดดร้อนจัดและควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ โดยจะเริ่มต้นจากอาการเจ็บป่วยจากแดดร้อนจัด คือ ตะคริวแดด เพลียแดด และลมแดด

 

          “สำหรับโรคลมแดดในทางการแพทย์เรียกว่า ฮีตสโตรก (heat stroke) เป็นอาการที่   เกิดจากการได้รับความร้อนที่มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาในภาวะ  ที่มีอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน เป็นความผิดปกติที่มีความรุนแรงมากที่สุด เพราะเมื่อเลือดข้นก็ทำให้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ไม่สะดวก โดยเฉพาะส่วนของสมองเพราะทำให้ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมทั้งการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติเกิน 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องให้การรักษาอย่างรีบด่วน เนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิต 17-70 เปอร์เซ็นต์” น.พ.นพพร กล่าว

 

          น.พ.นพพร กล่าวว่า อาการสำคัญของโรคลมแดด ได้แก่ ตัวร้อนจัด เพ้อหรือหมดสติ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลง ช็อก ผิวหนังแห้งและร้อน ระดับความรู้สึกตัวจะลดลง การทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว กระสับกระส่าย เอะอะ ก้าวร้าว หมดสติ เกร็ง ชัก โดยกลไกการทำงานของร่างกายหลังจากที่ได้รับความร้อน จะมีการปรับตัว โดยส่งน้ำหรือเลือดไปเลี้ยงตามอวัยวะต่างๆ ภายใน เช่น สมอง ตับ และกล้ามเนื้อ เป็นต้น ทำให้ผิวหนังขาดเลือดและน้ำไปหล่อเลี้ยง จึงไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ

 

          น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีการออกประกาศเตือนในช่วงที่มีอากาศร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากทำกิจกรรมกลางแดดนานๆ จะถือว่าเสี่ยงมาก สำหรับการช่วยเหลือผู้ที่มีอาการเป็นโรคฮีตสโตรก ให้นำผู้ที่มีอาการเข้าในที่ร่ม ให้นอนราบและยกเท้าทั้งสองข้างให้สูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงที่สมอง ถอดเสื้อผ้าออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ รักแร้ เชิงกราน ศีรษะ ร่วมกับการใช้พัดลมเป่าช่วยระบายความร้อน หรือเทน้ำเย็นราดลงบนตัว เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็วที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด ในรายที่อาการยังไม่มาก ควรให้ดื่มน้ำเปล่าธรรมดามากๆ สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอันตรายจากอากาศร้อนจัด ได้แก่ การขาดการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศร้อน ประ ชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคฮีตสโตรกได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

 

 

update : 07-04-53

 

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

Shares:
QR Code :
QR Code