รถเมล์ ‘สายสุขภาพ’ ระบบส่งต่อเพื่อชุมชน

รถเมล์ 'สายสุขภาพ' ระบบส่งต่อเพื่อชุมชน

มหกรรมสุขภาพชุมชน ครั้งที่ 2 ที่อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคีเครือข่ายสุขภาพ ทั้งองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพและสถาบันสุขภาพอาเซียน

ภายในงานจัดแสดงตัวอย่างพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการให้บริการสุขภาพระดับชุมชน 1 ในหลายๆ โครงการที่นำมาจัดแสดงไว้อย่างน่าสนใจคือ “โครงการรถเมล์สายสุขภาพขุนหาญ” ซึ่งเป็นความร่วมมือของบุคลากรในโรงพยาบาล (รพ.)ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ที่เล็งเห็นปัญหาจากการทบทวนการส่งต่อของแผนกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาล เมื่อปี 2547 โดยพบว่ามีผู้ป่วยร้อยละ 13.48 ไม่ไปรับการตรวจรักษาที่จำเป็น ณ รพ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ มีแพทย์เฉพาะทางและเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วน

รถเมล์ 'สายสุขภาพ' ระบบส่งต่อเพื่อชุมชน

รถเมล์สายสุขภาพที่ว่า เริ่มจาก 1.ลงทะเบียนนัดหมายผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน แต่ต้องส่งต่อเพื่อพบแพทย์เฉพาะทาง ณ แผนกผู้ป่วยนอก (โอพีดี) ของ รพ.ขุนหาญ 2.จากนั้นเจ้าหน้าที่  รพ.ขุนหาญ ติดต่อประสานงานกับศูนย์รับการส่งต่อของ รพ.ศรีสะเกษเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติและประสานงานส่งต่อ 3.ติดต่อจ้างเหมารถเมล์ประจำทาง 40 ที่นั่ง จำนวน 1 คัน ให้บริการทุกวันพุธ 4.ทุกวันพุธที่มีการเดินทาง เจ้าหน้าที่พยาบาลวิชาชีพจะคอยดูแลประจำรถ ตรวจสอบข้อมูล จำนวนผู้ป่วยที่นัดหมายตั้งแต่เวลา 07.30-08.30 น. 5.เจ้าหน้าที่ส่งแฟกซ์ข้อมูลผู้ป่วยให้ รพ.ศรีสะเกษ เพื่อจัดทำบัตรประจำตัวผู้ป่วยก่อนออกเดินทาง ซึ่งระยะเวลาในการเดินทางจาก อ.ขุนหาญ ถึงรพ.ศรีสะเกษ ประมาณ 1 ชั่วโมง

6.มอบป้ายคล้องคอสัญลักษณ์รถเมล์สุขภาพ เพื่อพยาบาลและเพื่อนร่วมคณะสามารถดูแลช่วยเหลือได้โดยไม่หลงลืมกัน 7.กำหนดจุดนัดหมายเพื่อรอรถและเดินทางกลับ 8.เมื่อเดินทางถึง รพ.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่พยาบาลพาผู้ป่วยไปส่งแต่ละคลินิกเพื่อตรวจ หลังจากนี้เจ้าหน้าที่พยาบาลที่เดินทางไปกับผู้ป่วยได้ส่งผู้ป่วยตามคลินิกต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็จะเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ป่วยหนัก หรือมีปัญหาที่ถูกส่งตัวจาก รพ.ขุนหาญไปที่รพ.ศรีสะเกษ และ 9.เดินทางกลับ รพ.ขุนหาญ โดยจะเสร็จสิ้นทั้งหมดเวลาประมาณ 17.30-18.00 น.

นางเพ็ญศรี นรินทร์ นางเพ็ญศรี นรินทร์ พยาบาล รพ.ขุนหาญ ให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ปัญหาที่ไม่ไปรับการตรวจรักษาที่ รพ.ศรีสะเกษ รวมทั้งโรงพยาบาลอื่นๆ เนื่องจากมีฐานะยากจน ไม่มีค่าพาหนะในการเดินทาง ที่สำคัญผู้สูงอายุบางคนอยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติดูแล จึงเกิดความกลัวที่จะไปรักษาและเดินทางคนเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสได้รับการดูแลและรักษาที่ครบถ้วนตามมาตรฐาน ผู้บริหารโรงพยาบาลตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ จึงดำเนินโครงการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา โดยช่วงแรกได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในพื้นที่ ณ ขณะนั้น เพื่อขอใช้งบประมาณซีอีโอจังหวัด จำนวน 250,000 บาท

นางศยามล คุโรปการนันท์ พยาบาล เล่าถึงผลการดำเนินการรถเมล์สายสุขภาพว่า ผู้ป่วยเข้าถึงการบริการมากขึ้นโดยพบว่าตั้งแต่ปี 2549-2554 ผู้ป่วยด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้ถึง 10,779 ราย และเมื่อทบทวนการส่งต่อของแผนกผู้ป่วยนอกใน รพ.ขุนหาญ อีกครั้ง พบว่าในปี 2554 มีผู้ป่วยร้อยละ 0.8 ไม่ไปรับการตรวจรักษาที่จำเป็น ณ รพ.ศรีสะเกษ ซึ่งลดลงจากปี 2547 ที่พบผู้ป่วยไม่ไปรับการตรวจถึงร้อยละ 13.48

1 ปีผ่านมา แม้งบสนับสนุนจะหมด แต่โครงการนี้ก็ไม่สิ้นสุด เพราะหลังจากนั้นผู้ป่วยต่างเห็นถึงข้อดีของระบบจึงตกลงที่จะร่วมจ่ายค่าเดินทางไป-กลับ ครั้งละ 50 บาทต่อที่นั่ง นับเป็นจุดเริ่มต้นที่น่า “เอาอย่าง” ยิ่งนัก!

เรื่อง: วารุณี สิทธิรังสรรค์
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

Shares:
QR Code :
QR Code