 
  ‘ฟื้นชุมชน’ด้วยความคิด ‘ชีวิตแห่งป่าคลอก’ กับยุทธศาสตร์…‘คน 3 ขา’

“การศึกษานั้นแพง แต่ความไม่รู้นั้นแพงกว่า” (-เบนจามิน แฟรงคลิน)…คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงไปนัก แม้สังคมจะพัฒนาหรือก้าวล้ำไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมายจากอดีต แต่เรื่องความรู้เท่าทัน-เพื่อก้าวให้ทันโลก ก็ยังมีประเด็นและมีเรื่องให้ขบคิดเสมอ ถ้ารู้ตัวเร็วอาจปรับตัวทัน แต่ถ้าหากตื่นช้า บางทีก็อาจจะสายเกินที่จะแก้ไข
 “เราต้องรู้ก่อนว่าคนของเรามีหม้อข้าวอยู่เท่าไหร่ ถ้าเรารู้ เราก็จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดได้มากขึ้น” เสียงเข้มของ จีระศักดิ์ ท่อทิพย์ หนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนชุมชนบ้านบางโรง กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของเมือง ที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนทำให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย
“เราต้องรู้ก่อนว่าคนของเรามีหม้อข้าวอยู่เท่าไหร่ ถ้าเรารู้ เราก็จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดได้มากขึ้น” เสียงเข้มของ จีระศักดิ์ ท่อทิพย์ หนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนชุมชนบ้านบางโรง กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของเมือง ที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนทำให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย
ที่ “บ้านบางโรง” นี้ เป็นอีกโมเดลหนึ่งของการแก้ปัญหาจาก “ภายใน” สู่ “ภายนอก” ของ ชาวตำบลป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เมืองที่กำลังพุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทว่าในระหว่างทางสู่ความสำเร็จนั้นก็มีปัญหาและผล กระทบที่ตามมาเกิดขึ้น ซึ่งที่นี่ใช้วิธีแก้ไขปัญหาแบบขยับใน สู้ภัยจากนอกท้องถิ่น โดยปัญหาชุมชนเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเปิดสัมปทานป่าชายเลน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวถูกรุก ทั้งการตัดไม้เพื่อทำถ่าน, การทำนากุ้ง, การท่องเที่ยวที่เติบโต จนนำไปสู่ปัญหาหลายๆ ด้าน นอกจากนี้ยังมีปัญหาการขาดที่ดินทำกินและอยู่อาศัย อันนำไปสู่ปัญหาหนี้สินตามมา
“ชาวบ้านเคยรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้การแก้ปัญหาไม่ขยับไปข้างหน้าเท่าที่ควร เราเลยกลับมานั่งทบทวนและคิดว่าหากจะบรรเทาปัญหา ชุมชนเองก็ต้องขยับตัวไปพร้อมๆ กันด้วย” เป็นแนวคิดของ สมศักดิ์ ท่อทิพย์ ผู้จัดการกองทุนสวัสดิการชุมชนป่าคลอก ที่เล่าถึงปัญหา อันเป็นจุดเริ่มต้นของกองทุนสวัสดิการชุมชนป่าคลอก ที่เริ่มด้วยเงินเพียง 1 บาท ซึ่งเขาระบุว่า เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547 หลังสำรวจและพบว่าส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องที่ดิน โดยกองทุนนำหลักศาสนาเข้ามาเป็นแกน มีข้อกำหนดเพียงว่าสมาชิกต้องอยู่ในหลักศาสนา ที่สำคัญการเปิดรับสมาชิกไม่ได้ขีดวงอยู่แค่คนมุสลิม หากเปิดกว้างให้คนศาสนาอื่นด้วย
 “เราคิดว่าเราทำกองทุนของพระเจ้า โดยเอาหลักศาสนามาเป็นแกนหลักในการทำงาน แต่ก็ไม่ได้สุดโต่งจนดิ้นไปไหนไม่ได้ คนศาสนาอื่นเราก็รับ ขอให้เป็นคนดี ไม่ติดหวย ไม่ติดเหล้า เรารับหมด ในเรื่องศาสนาไม่ต้องห่วง เราแยกกันเฉพาะพิธีกรรม แต่กิจกรรมเราทำร่วมกันตลอด” สมศักดิ์กล่าวถึงความแตกต่างที่ไม่แตกต่าง
“เราคิดว่าเราทำกองทุนของพระเจ้า โดยเอาหลักศาสนามาเป็นแกนหลักในการทำงาน แต่ก็ไม่ได้สุดโต่งจนดิ้นไปไหนไม่ได้ คนศาสนาอื่นเราก็รับ ขอให้เป็นคนดี ไม่ติดหวย ไม่ติดเหล้า เรารับหมด ในเรื่องศาสนาไม่ต้องห่วง เราแยกกันเฉพาะพิธีกรรม แต่กิจกรรมเราทำร่วมกันตลอด” สมศักดิ์กล่าวถึงความแตกต่างที่ไม่แตกต่าง
นอกจากผู้ใหญ่จะขับเคลื่อนแล้ว ในกลุ่มพลังเด็กและเยาวชนในชุมชนเองก็ขยับตัวไปพร้อมๆ กันด้วย โดย เจษฎ์ ดุจพยัคฆ์ หนึ่งในสภาเด็กและเยาวชนชุมชนป่าคลอก ก็บอกเล่าว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบกับผู้ใหญ่ แต่ก็ยังกระทบลงมาที่ตัวเด็กๆ ด้วย จึงทำให้กลุ่มเยาวชนมองว่า “พลังของเด็ก” ก็สำคัญไม่แพ้พลังผู้ใหญ่ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานของผู้ใหญ่
“เรารู้ศักยภาพตัวเราเองว่าทำอะไรได้แค่ไหน หน้าที่ของเราคือทำหน้าที่เสมือนกาวที่ผนึกคนกลุ่มต่างๆ คนวัยต่างๆ ในชุมชน ให้กลับมาเป็นปึกแผ่นแข็งแรงเหมือนในอดีต เราคิดว่าต่อให้แนวคิดดีแค่ไหน แต่ถ้าเราทุกคนทุกกลุ่มไม่เดินไปพร้อมๆ กัน โครงการดีแค่ไหน แนวคิดดีแค่ไหน มันก็เดินไปไม่ได้” เจษฎ์กล่าว
 “สิ่งที่เราทำมีไม่มาก ที่เราทำคือชี้เป้าให้ชัด กัดไม่ปล่อย และต้องรุมกันกัด” ส่วนนี่เป็นเสียงเข้มแต่มีรอยยิ้มเจือใบหน้าตลอด ของผู้อาวุโสประจำพื้นที่อย่าง สำราญ คงนาม ประธานสภาองค์กรชุมชนป่าคลอก ซึ่งฟังผ่านๆ แล้วดูน่ากลัว ทว่าเมื่อได้รับการขยายความก็ทึ่งในวิธีคิด สำราญอธิบายว่า ก่อนแก้ปัญหาต้องมองให้เห็นปัญหาก่อน เมื่อเห็นและรู้แน่ชัดก็ต้องติดตามและค้นหาให้พบแก่นแท้ จากนั้นต้องกัดไม่ปล่อย นั่นคือการทุ่มเทตั้งใจเพื่อแก้ปัญหานั้นให้ได้ ชนิดไม่สำเร็จ ไม่ถอดใจ ไม่ล้มเลิก ซึ่งแผนพัฒนาชุมชนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลป่าคลอกที่สนับสนุนงบประมาณและสถานที่ ทั้งยังมีหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามา ซึ่งเปิดรับแนวคิดหมด เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าทุกหน่วยงานที่เข้ามาต้องทำตามแผนของชุมชน!!!
“สิ่งที่เราทำมีไม่มาก ที่เราทำคือชี้เป้าให้ชัด กัดไม่ปล่อย และต้องรุมกันกัด” ส่วนนี่เป็นเสียงเข้มแต่มีรอยยิ้มเจือใบหน้าตลอด ของผู้อาวุโสประจำพื้นที่อย่าง สำราญ คงนาม ประธานสภาองค์กรชุมชนป่าคลอก ซึ่งฟังผ่านๆ แล้วดูน่ากลัว ทว่าเมื่อได้รับการขยายความก็ทึ่งในวิธีคิด สำราญอธิบายว่า ก่อนแก้ปัญหาต้องมองให้เห็นปัญหาก่อน เมื่อเห็นและรู้แน่ชัดก็ต้องติดตามและค้นหาให้พบแก่นแท้ จากนั้นต้องกัดไม่ปล่อย นั่นคือการทุ่มเทตั้งใจเพื่อแก้ปัญหานั้นให้ได้ ชนิดไม่สำเร็จ ไม่ถอดใจ ไม่ล้มเลิก ซึ่งแผนพัฒนาชุมชนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ มากมาย เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลป่าคลอกที่สนับสนุนงบประมาณและสถานที่ ทั้งยังมีหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามา ซึ่งเปิดรับแนวคิดหมด เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าทุกหน่วยงานที่เข้ามาต้องทำตามแผนของชุมชน!!!
“ก่อนที่จะคิดจัดการคนอื่น เราต้องจัดการตนเองก่อน บางครั้งเราเอาการเมืองเป็นทางสะดวก แต่ต้องใช้แผนชุมชนเป็นทางนำ เมื่อชุมชนชัดเจนในเป้าหมาย ผู้สนับสนุนก็จะชัดเจนด้วย การทำงานของเรามีศาสนาเป็นทางนำ ใช้เงินเป็นเครื่องมือ และมีคนเป็นหัวใจ” สำราญกล่าว
ขณะที่ เสบ เกิดทรัพย์ ผู้จัดการกลุ่มออมทรัพย์อัล-อามานะห์ เล่าว่า การขับเคลื่อนงานระดับตำบลใช้งานสวัสดิการชุมชนเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในทุกเรื่องของชุมชน ทำให้คนได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนคนที่ยากลำบาก  ทำให้ได้ใจ สำคัญกว่าสิ่งของ โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ 3 กลุ่มนอกเหนือจากสมาชิก คือ 1. กลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้ง 2. กลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงาน และ 3. กลุ่มเด็กเล็กและคนชรา นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาศักยภาพคนอย่างต่อเนื่อง เพราะทิศทางไปสู่อนาคตของชุมชนเป็นเรื่องสำคัญมาก
ทำให้ได้ใจ สำคัญกว่าสิ่งของ โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ 3 กลุ่มนอกเหนือจากสมาชิก คือ 1. กลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้ง 2. กลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงาน และ 3. กลุ่มเด็กเล็กและคนชรา นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาศักยภาพคนอย่างต่อเนื่อง เพราะทิศทางไปสู่อนาคตของชุมชนเป็นเรื่องสำคัญมาก
เสบกล่าวว่า เราจะต้องให้ความสำคัญกับทุก ๆ กลุ่ม เพราะชุมชนไม่ได้มีคนอยู่เพียงแค่คนๆ เดียว หรือกลุ่มๆ เดียว ส่วนมากส่วนน้อยเราก็ต้องให้คุณค่าเขา งานของเราจะเรียกว่าเป็น ยุทธศาสตร์ คน 3 ขา ก็ว่าได้ คือ ชุมชน ศาสนา ภาครัฐ ทั้งหมดมันต้องขยับไปพร้อมๆ กัน มันถึงจะเดินต่อไปได้อย่างแข็งแรง งานตรงนี้เป็นงานเย็น เราต้องค่อยๆ ทำ ยอมรับว่ามันช้า และต้องใช้เวลา แต่ถ้าทำสำเร็จ ผมว่ามันคุ้ม
ที่ว่ามาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนจากบทเรียนจากชีวิตที่คนป่าคลอกผจญและเผชิญ เป็นสิ่งที่ชาวชุมชนแห่งนี้ต้องเรียนรู้ ยอมรับ เพื่อที่จะก้าวผ่านคืนวันอันแสนยากต่อไปให้ได้ อย่างน้อยความคิดที่เกิดขึ้นก็น่าจะพอทำให้เห็นเค้าลางรางๆ ของอนาคตที่สะท้อนออกมา ความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาของชุมชนไว้ล่วงหน้า ถึงในอนาคต
 “ตื่นรู้” นำสู่ความ “เข้มแข็ง” อธิพงษ์ คงนาม นายก อบต.ป่าคลอก เล่าว่า เมื่อกระแสทุนนิยมแพร่เข้ามา ทำให้ชุมชนนี้มีปัญหาแตกแยกแบ่งกลุ่มแบ่งฝ่าย และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ มักไม่ประสบความสำเร็จ ทาง อบต. และผู้นำชุมชน ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ เริ่มเห็นปัญหา จึงมานั่งพูดคุยกัน และเริ่มลงไปทำความเข้าใจกับคนในชุมชน สะท้อนให้เห็นปัญหา จนชุมชนกลับลำและหันมาตั้งหลักสู้กับปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งความสำเร็จในวันนี้ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นโดย การ “ตื่นขึ้น” ของชุมชน เอง โดยที่ อบต.มีหน้าที่เพียงช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริม
“ตื่นรู้” นำสู่ความ “เข้มแข็ง” อธิพงษ์ คงนาม นายก อบต.ป่าคลอก เล่าว่า เมื่อกระแสทุนนิยมแพร่เข้ามา ทำให้ชุมชนนี้มีปัญหาแตกแยกแบ่งกลุ่มแบ่งฝ่าย และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ มักไม่ประสบความสำเร็จ ทาง อบต. และผู้นำชุมชน ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ เริ่มเห็นปัญหา จึงมานั่งพูดคุยกัน และเริ่มลงไปทำความเข้าใจกับคนในชุมชน สะท้อนให้เห็นปัญหา จนชุมชนกลับลำและหันมาตั้งหลักสู้กับปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งความสำเร็จในวันนี้ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นโดย การ “ตื่นขึ้น” ของชุมชน เอง โดยที่ อบต.มีหน้าที่เพียงช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริม
“ตำบลป่าคลอกเดินมาถึงจุดนี้ได้ เพราะความร่วมมือร่วมใจของทุกส่วน ทุกคนเสียสละสุขส่วนตน ทิ้งอคติไว้เบื้องหลัง จึงทำให้เรามีชุมชนที่เข้มแข็ง สามารถตั้งรับกับหลายๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรู้เท่าทัน” อธิพงษ์กล่าว
เรื่อง: ศิริโรจน์ ศิริแพทย์
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


 
				 
				 
				 
			 
			 
			