พัฒนา “ยุวอาสาสมัครสาธารณสุข” ป้องกันโควิด-19 ในโรงเรียน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ


พัฒนา


แฟ้มภาพ


พัฒนา ยุวอาสาสมัครสาธารณสุข (ยุวอสม.) ต่อยอดจากแกนนำสุขภาพนักเรียน ในโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติทั่วประเทศ เป็นจิตอาสาดูแลสุขภาพเพื่อนนักเรียนและชุมชน เฝ้าระวังและย้ำเตือนวิถีชีวิตใหม่ "สวมหน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ" ป้องกันโรคโควิด 19 ตั้งเป้ามียุวอสม. 307,570 คนภายในปี 2566


ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.)  เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้รณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตามสุขบัญญัติ เป็น "วิถีชีวิตใหม่" ของสังคมไทย เน้น 3 พฤติกรรมหลัก ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างกัน และล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร ก่อนสัมผัสใบหน้า ตา จมูก เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจอื่นๆ


สำหรับในกลุ่มเด็กและเยาวชนในโรงเรียน ได้ต่อยอดพัฒนาแกนนำสุขภาพนักเรียนในโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติ ให้เป็นยุวอาสาสมัครสาธารณสุข (ยุวอสม.) เป็นจิตอาสาดูแลสุขภาพเพื่อนนักเรียนและชุมชน เฝ้าระวังและย้ำเตือน "สวมหน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ" แบ่งเบาภาระครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียน ปัจจุบันมียุวอสม. 14,086 คนใน 2,443 โรงเรียน ตั้งเป้าหมาย ในปี 2563 ดำเนินการใน 878 อำเภอ อำเภอละ 2 โรงเรียนๆ ละ 10 คน รวม 17,560 คน และเพิ่มเป็น 35,120 คนในปี 2564 ครอบคลุมโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 30,757 แห่ง รวม 307,570 คนภายในปี 2566 ก่อนขยายผลไปยังโรงเรียนในสังกัดอื่นๆ


ซึ่ง ยุวอสม. จะได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในทักษะด้านสุขภาพ ที่สามารถนำมาใช้กับตนเอง ครอบครัว และสังคม ฝึกการ เป็นผู้นำด้านสุขภาพ พัฒนาเป็นนักจัดการสุขภาพในโรงเรียนและชุมชน และจะได้รับ ใบเกียรติบัตรเป็น "ยุวอาสาสมัครสาธารณสุข" แสดงถึงความเป็นผู้นำและผู้เสียสละ ส่วนโรงเรียนที่มีการพัฒนาคุณภาพตามแนวทางสุขบัญญัติในระดับดีเยี่ยม จะได้รับโล่และใบเกียรติบัตรต้นแบบโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติแห่งชาติ


สำหรับหน้าที่ของ ยุวอสม. ที่ได้รับการคัดเลือกจากโรงเรียน จะร่วมเป็นทีมงานกับครู ผู้ปกครอง เครือข่ายในพื้นที่ แกนนำชุมชน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ในการพัฒนา "วิถีชีวิตด้วยสุขบัญญัติ" เป็นแกนหลักในการส่งเสริมและเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพเพื่อนนักเรียน โดยเฉพาะการป้องกันโรคโควิด 19 อาทิ จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้/สร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพ เช่น จัดบอร์ดประชาสัมพันธ์ เสียงตามสาย เฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเล่นในระยะห่าง ที่เหมาะสม การล้างมือ ความสะอาดส่วนบุคคล รวมทั้งเป็น "ต้นแบบด้านสุขภาพ" / ร่วมกับครูค้นหานักเรียนต้นแบบสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้คงพฤติกรรมสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง


บุณยพงศ์ โพธิวัฒน์ธนัต ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ กทม. กล่าวว่า โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ พิเศษ มีนักเรียนกว่า 3,300 คน ในการป้องกันโรคโควิด 19 ได้กำหนดให้นักเรียนสวมหน้ากากก่อนเข้าโรงเรียน วัดอุณหภูมิด้วยกล้องอินฟราเรดและส่งผลไปยังผู้ปกครอง จัดนักเรียนไม่เกิน 20 คนต่อห้องเรียน และแบ่งสลับวันเรียนระหว่าง ม.ต้น และม.ปลาย เพื่อเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ ได้ต่อยอดแกนนำจากหลายชมรมในโรงเรียน เป็น ยุวอสม. ช่วยดูแลป้องกันโรคโควิด-19 และโรคอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เน้นการปฏิบัติตามสุขบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งนักเรียนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี


ธัญนรัตน์ โชติวิวุฒิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสะแก จ.ปทุมธานี กล่าวว่า โรงเรียนวัดสะแก เป็นโรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลาง มีนักเรียนต่อห้องไม่เกิน 20 คน ได้กำหนดรูปแบบป้องกันโรคโควิด-19 โดยนักเรียน ครู ผู้มาติดต่อโรงเรียนจะต้องสวมหน้ากาก มีการคัดกรองนักเรียนทุกเช้าก่อนเข้าโรงเรียน เน้นการล้างมือ ซึ่งสอดคล้องตามสุขบัญญัติแห่งชาติ และได้สร้างนักเรียนแกนนำ เป็นยุวอสม.ช่วยครูดูแลสุขภาพนักเรียน ช่วยคัดกรองนักเรียนก่อนเข้าโรงเรียน จัดกิจกรรมสอนน้องล้างมือ 7 ขั้นตอนประกอบสื่อการสอน ในชั้น เด็กเล็ก-ป.3 และสอนการแปรงฟันถูกวิธีภายใต้ โควิด-19 ในชั้นป.4-ป.6 ทำให้ยุวอสม. ตระหนักถึงการดูแลสุขภาพตนเอง คนรอบข้าง และชุมชน ได้ฝึกการเป็นผู้นำ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และคาดหวังให้ร่วมสร้างยุวอสม.รุ่นต่อไป


ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 35,155 แห่ง พร้อม เปิดเรียน 100% ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 29,235 แห่ง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 4,103 แห่ง (ส่วนนอกระบบ 10,248 แห่ง อยู่ระหว่างการสำรวจ) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 889 แห่ง และ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 928 แห่ง


โดยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. (สถานศึกษา สามารถเลือกได้มากกว่า 1 รูปแบบ) จำนวนสถานศึกษาทั้งหมด 29,235 แห่ง จัดการเรียนการสอนแบบ On-Site จำนวน 24,703 แห่ง และ แบบผสมผสาน (Blended Learning) แบ่งเป็น รูปแบบที่ 1 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันเรียน 1,671 แห่ง รูปแบบที่ 2 สลับชั้นมาเรียน แบบสลับวันคู่วันคี่ 565 แห่ง รูปแบบที่ 3 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันมาเรียน 5 วัน หยุด 9 วัน 258 แห่ง รูปแบบที่ 4 สลับช่วงเวลามาเรียนแบบเรียนทุกวัน 1,400 แห่ง รูปแบบที่ 5 สลับกลุ่มมาเรียนแบบ แบ่งนักเรียนในห้องออกเป็น 2 กลุ่ม 2,523 แห่ง และ รูปแบบที่ 1-5 รวมกับรูปแบบอื่นๆ ตามบริบทของสถานศึกษา 1,997 แห่ง

Shares:
QR Code :
QR Code