ฝุ่นละออง เรื่องเล็ก ที่ไม่เล็กอย่างที่คิด
หยุดโลกร้อน ผ่อนทุกข์ สุขยั่งยืน
ทุกวันนี้ “โลก” กำลังถูกทำร้าย ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เป็นที่มาของปัญหา “โลกร้อน” ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ยังร่วมกันทำร้ายโลกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยการทิ้ง ทับถม ละเลย และร่วมกันสร้างมลพิษให้เกิดขึ้น ทั้งน้ำเน่า ฝุ่นละออง เสียงดัง ขยะกองโตล้นออกจากถัง…เบนสายตามองไปทางไหนก็เจอแต่มลภาวะที่เป็นพิษที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้สุขภาพร่างกายและจิตใจของประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง ย่ำแย่กันไปตามๆ กัน
ล่าสุด กรมควบคุมมลพิษได้ตรวจพบว่า คุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ มีมลพิษเกินระดับมาตรฐานถึง 6 สถานี ซึ่งหากหายใจเอาอากาศที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกายเป็นเวลานานอาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายวิจารณ์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เล่าให้ฟังว่า จากผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ดัชนีคุณภาพอากาศริมถนนที่จะต้องไม่เกิน 100 นั้น ปรากฏว่า เกินมาตรฐานมาถึง 6 สถานี คือ สถานีการเคหะชุมชนแห่งชาติ กทม. วัดได้ 142 สถานีดินแดงวัดได้ 110 สถานีห้วยขวางวัดได้ 112 สถานีอินทรพิทักษ์วัดได้ 110 สถานี จ.พระนครศรีอยุธยาวัดได้ 101 สถานี จ.นนทบุรีวัดได้ 126 ส่วนปริมาณฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ที่มีค่ามาตรฐานไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ เช่น จ.สระบุรีวัดได้ 199.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
แค่ไหนถึงจะอันตราย!! แบบไหนถึงจะทำร้ายสุขภาพ!!
เสียง…เสียงที่ถือว่าเป็นอันตรายต่อกลไกการได้ยินนั้น คือเสียงที่ดังตั้งแต่ 85 เดซิเบลขึ้นไป ซึ่งความเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยินจะขึ้นอยู่กับความดังของเสียง และระยะเวลาของการได้ยิน หากฟังในระยะเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้เป็นโรคหูน้ำหนวก หูดับได้
อากาศ…คุณภาพอากาศริมถนนจะต้องมีดัชนีไม่เกิน 100 และต้องมีส่วนปริมาณฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ที่มีค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หากสูดดมฝุ่นละอองขนาดนี้เข้าไปนาน ๆ จะส่งให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจได้
น้ำ…ตามปกติน้ำในธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายปนอยู่ประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 8 ส่วนในล้านส่วน โดยทั่วไปค่า DO หรือปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ ต่ำกว่า 3 มิลลิกรัม/ลิตรจัดเป็นน้ำเสีย การหาปริมาณของออกซิเจนที่จุลินทรีย์ ต้องการใช้ในการย่อยสลายอินทรีย์สารในน้ำ หรือ BOD เป็นการบอกคุณภาพน้ำได้ ถ้าค่า BOD สูง แสดงว่าในน้ำนั้นมีอินทรีย์สารอยู่มาก การย่อยสลายอินทรีย์สารของจุลินทรีย์ต้องใช้ออกซิเจน ทําให้ออกซิเจนในน้ำเหลืออยู่น้อย โดยทั่วไปถ้าในแหล่งน้ำใดมีค่า BOD สูงกว่า 100 มิลลิกรัม/ลิตร จัดว่าน้ำนั้นเป็นน้ำเสีย
สูดดมฝุ่นละอองมาก เสี่ยงป่วยโรคทางเดินหายใจ!!!…สภาพอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง ไม่เพียงแต่สร้างความรำคาญให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เมื่อเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ จะเกาะตัวหรือตกตัวได้ในส่วนต่าง ๆ ของระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดการระคายเคือง แสบคอ เสียงแหบ หายใจลำบาก ไอแห้งๆ ชีพจรเต้นเร็ว ตาแดง มองเห็นภาพไม่ค่อยชัด น้ำตาไหล แสบหรือคันตา
ไม่เพียงแต่แสดงอาการภายนอกเท่านั้น เพราะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ยังทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อเยื่อปอด ซึ่งหากได้รับในปริมาณมากหรือในช่วงเวลานาน จะสามารถสะสมในเนื้อเยื่อปอด เกิดเป็นผังผืดหรือแผลขึ้นได้ และทำให้การทำงานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้หลอดลมอักเสบ เกิดหอบหืด ถุงลมโป่งพอง เสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ และหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการของโรค เช่น ฝุ่น ควัน อากาศเย็นจัด ร้อนจัด โดยยึดหลักง่ายๆ คือ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝุ่นควันจำนวนมาก หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ให้ใช้หน้ากากกันฝุ่น หากไม่มีหน้ากากให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกเพื่อลดอาการระคายเคือง และที่สำคัญคือรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง
เมื่อ “ลดมลพิษ” จะสามารถยืดอายุคนได้!!!…
อากาศที่บริสุทธิ์และสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นส่วนช่วยทำให้สุขภาพกายและจิตดีตามไปด้วย ซึ่งข้อมูลจากวารสารทางวิชาการ การแพทย์นิวอิงแลนด์ของสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาอิทธิพลของมลพิษทางอากาศกับสถิติอายุขัยเฉลี่ยของประชากรในเมืองต่างๆ 51 เมือง ระหว่าง พ.ศ.2523-2543 พบว่า การลดมลพิษในอากาศลงทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งเคยมีการศึกษากันมาก่อนแล้วว่า อากาศเสียจะทำให้ผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจมีอาการทรุดหนักลง
มาช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมดี ๆ กันดีกว่า!!!…เมื่อเราต้องหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา แต่สภาพอากาศกลับเต็มไปด้วยฝุ่นละอองและแก๊สพิษ ส่งผลทำให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่าย วิธีแก้ไขง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถร่วมมือร่วมใจกันทำได้ คือ การทำความสะอาดบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่เพียงแค่ภายใน แต่ยังรวมไปถึงบริเวณหน้าบ้าน โดยการฉีดน้ำรดบริเวณพื้น เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง และช่วยกันปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้เราได้สูดดมไปอีกนานแสนนาน…
ว่าก็ว่าเถอะ!!! ไม่เพียงแต่มลภาวะทางอากาศเท่านั้นที่เราต้องช่วยกันดูแลได้ แต่ยังรวมไปถึง มลพิษทางเสียง มลพิษจากของเสียอันตราย มลพิษทางน้ำ โดยเฉพาะมลพิษทางขยะ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งของสังคมในปัจจุบัน ขับรถก็เจอขยะปลิวว่อนบนถนน ลงเรือก็เจอขยะลอยละล่องเต็มแม่น้ำ เรียกได้ว่า ขยะ ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนสังคมไปแล้วก็ว่าได้…
และที่น่าตกใจสุดๆ ก็คือ เมื่อกรมควบคุมมลพิษได้ทำการสำรวจจำนวนขยะในประเทศไทย พบว่า ทุกวันนี้คนไทยกว่า 60 ล้านคน สามารถสร้างขยะได้มากถึง 14 ล้านตันต่อปี ทำให้มีขยะตกค้างเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ในสังคม แต่ส่งผลไปถึงสุขภาพ เพราะกองขยะกองโต ที่เราทิ้งกันไปนั้น เปรียบเสมือนภัตตาคารชั้นเยี่ยมของพาหะนำโรค อย่าง หนู แมลงวัน แมลงสาบ ซึ่งสามารถนำโรคติดต่อมาสู่ประชาชนได้ เช่น อหิวาตกโรค อุจจาระร่วง บิด โรคผิวหนัง บาดทะยัก โรคทางเดินหายใจ เป็นต้น
หยุดคิดสักนิด ก่อนคิดทิ้งขยะ!!! เพราะเราสามารถช่วยกันลดปริมาณขยะได้ง่าย ๆ เพียงแค่หลีกเลี่ยงสิ่งของหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะสร้างปัญหาขยะรวมทั้งเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กล่องโฟม หรือ ขยะมีพิษอื่น ๆ เลือกใช้สินค้าชนิดเติมซึ่งใช้บรรจุภัณฑ์น้อยชิ้นกว่า ขยะก็น้อยกว่าด้วย ซ่อมแซมเครื่องใช้ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อไป ไม่ให้กลายเป็นขยะ นำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ หรือที่เรียกว่า Recycle ทิ้งขยะในที่ที่จัดไว้ให้ และควรคัดแยกประเภทของขยะและทิ้งให้ถูกถัง เพื่อง่ายต่อการนำไปกำจัดอีกด้วย
เห็นไหมคะว่า ไม่ว่าเราจะสร้างมลพิษทางใดก็ตาม สุดท้ายแล้ว ก็เวียนเป็นวัฏจักรย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราอยู่ดี ซึ่งที่มาที่สำคัญที่สุดของมลภาวะต่างๆ นั้นมาจากน้ำมือของมนุษย์อย่างเราๆ นี่เอง และอีกไม่นานหากเรายังคงนิ่งนอนใจ “ภาวะโลกร้อน” ที่เราต่างกลัวๆ กันอยู่นั้น อาจจะปรากฏและส่งผลกระทบหนักและเร็วกว่าที่คิดหรือคาดการณ์เอาไว้ก็ได้ ดังนั้น เราจึงควรร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อ “หยุดโลกร้อน ผ่อนทุกข์ สุขยั่งยืน” กันดีกว่า
เพราะคุณ คือ อีกหนึ่งพลังร่วมสร้างสังคมสุขภาวะ….
ที่มา : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th
Update : 12-02-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์