‘ผู้เฒ่าไร้สัญชาติ’ ผู้ทรงคุณค่าที่ไม่ควรถูกลืม
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
เมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วยคนสัญชาติไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิประกันสังคม ทว่าในกรณีบุคคลไร้สัญชาติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การเข้ารับการบริการสุขภาพนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก และบางรายไม่มีกระทั่งที่จะใช้สิทธิ์นั้น เราได้เดินทางไปบนดอยแม่สลอง จ.เชียงราย ลงพื้นที่เรียนรู้ถึงพลังที่ถูกลืม 'ผู้เฒ่าไร้สัญชาติ' ใน 3 พื้นที่ บ้านป่าคาสุขใจ, หมู่บ้านหล่อโย, หมู่บ้านกิ่วสะไต เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้คืนข้อมูลกับมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จากการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงการทำงานของ สสส. และภาคีเครือข่ายว่า สสส. ทำงานในเรื่องของการเสริมสร้างสุขภาวะของคนทุกคน แต่การจะเข้าถึงบริการของการสร้างเสริมสุขภาพในแบบทั่วไปได้นั้น ทุกคนจะต้องมีสถานะและสิทธิที่ยืนยันได้ แต่ก็ไม่ใช่สำหรับทุกคนที่จะมี ด้วยเหตุนี้ สสส.จึงเห็นความสำคัญที่จะเข้ามาร่วมสนับสนุนคนทำงานในพื้นที่ เพื่อให้เขาได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้ ทั้งการเสริมสร้างความรู้ ทบทวนช่องว่างและสถานการณ์กฎหมาย รวมไปถึงการผลักดันนโยบายที่เป็นอุปสรรคของการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุข เพราะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีเวลาน้อยลงทุกวัน มีเงื่อนไขของกายภาพ ศักยภาพที่ไม่เหมาะสมกับการทดสอบต่างๆ จุดนี้มันควรจะต้องข้อพิจารณาให้สมเหตุสมผล แต่อย่างที่กล่าวมา ปัญหาถูกสะสมมานาน การผลักดันนโยบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข้อกริ่งเกรงต่างๆ มีมาก และขณะเดียวกันในการพิสูจน์สัญชาติและสถานะบุคคลของผู้เฒ่าไร้สัญชาติ ถ้าไม่ใช้เครื่องมือกลางพิสูจน์แล้ว จะมีเครื่องมือหรือกฎกติกาอะไรที่จะนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม นี่เป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องหาดำเนินการร่วมกัน
ด้านนางเตือนใจ ดีเทศน์ ประธานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) กล่าวถึงกลุ่มผู้เฒ่าไร้สัญชาติว่า ถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดและกำลังจะถูกสังคมหลงลืมไป จากการลงพื้นที่สำรวจพบว่ามีผู้เฒ่าจำนวนไม่น้อยที่ยังไร้รัฐไร้สัญชาติ ผู้เฒ่าบางคนไม่รู้ว่าการเข้าถึงสถานะบุคคลของตนเองจะนำไปสู่สิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานอะไรบ้าง หนักกว่าคือลูกหลานไม่สนใจดำเนินเรื่องให้ เพราะคิดแต่ว่าอายุมากแล้วจะเอาสัญชาติไทยไปทำอะไร เหตุนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นโครงการผู้เฒ่าไร้สัญชาติและงานวันผู้เฒ่าไร้สัญชาติขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักและเปิดการรับรู้ให้ชาวบ้านได้เข้าใจในเรื่องสถานะและสิทธิมากขึ้น นอกจากการเร่งแก้ปัญหาเชิงนโยบาย เรายังพยายามเปลี่ยนทัศนคติ มุมมอง สะท้อนให้สังคมได้เข้าใจผู้เฒ่าไร้สัญชาติว่า พวกท่านเป็นบุคคลที่ทรงภูมิปัญญา เป็นคลังสมอง เป็นผู้ที่สืบทอดจารีตประเพณีอันงดงามไว้ให้กับคนรุ่นหลัง จะเห็นได้ว่าเรื่องการไร้รัฐไร้สัญชาติมันมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม อาหาร สังคม วัฒนธรรม ดังนั้นการจะทำงานให้สำเร็จได้ต้องมาจากความร่วมมือของทุกคนไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าหลายคนเดินข้ามป่า ข้ามเขาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแถบพื้นที่สูง แต่เพราะเมื่อก่อนไม่ได้มีพรมแดนหรือเส้นแบ่งเขตแดนเป็นตัวบ่งชี้ ทั้งยังไม่มีเอกสารหลักฐานที่ชัดเจนของการมาอยู่ ทำให้ตกหล่นจากการสำรวจไปหลายพันคน ถึงแม้บางคนจะอยู่มานานเกือบชั่วชีวิตของตนเอง ดังเช่นนายอาเมีย แซ่เบว ชาวเผ่าอาข่า ช่างตีเงินเก่าแก่แห่งบ้านป่าคาสุขใจ จ.เชียงราย อายุ 67 ปี เล่าว่า ตนอาศัยอยู่ที่นี้มานานกว่า 40 ปี แต่ยังมีสถานะเป็นต่างด้าวและรอการแปลงสัญชาติจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาต้องเจอความลำบากหลายอย่าง เช่น ตนเป็นโรคปวดกระดูกจากการนั่งตีเงินเป็นเวลานาน บางครั้งปวดมากๆ จนต้องไปโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด ซึ่งแพงมาก และเวลาลงจากดอยหรือไปไหนก็มักจะถูกตำรวจเรียกตรวจ หรือบางครั้งก็โดนเรียกค่าปรับ แม้จะมีหนังสือเดินทางในฐานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมายก็ตาม แต่ภาษาไทยตนไม่ดีพอ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมองข้ามความสำคัญทางเอกสาร และถูกปรับเป็นประจำ
ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรถูกหลงลืมและเลือนหายไปจากสังคม เพราะทุกคนเกิดมาด้วยความเท่าเทียมกัน มีความเป็นมนุษย์และสิทธิ เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ สถานภาพทางกายและความเชื่อ