ผู้ป่วยด้วยโรคท้องร่วง

 

 

ช่วงหน้าร้อนอย่างนี้หากไม่เลือกทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะก็อาจจะป่วยเพราะท้องร่วงได้ง่าย เพราะทั้งอุณหภูมิ และความชื้นของฤดูร้อนจะทำให้เชื้อแบคทีเรีย บิด และไวรัส เจริญเติบโตแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อจะทำให้มีการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ มากกว่า 3ครั้งขึ้นไปต่อวัน ทั้งอาจมีมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ ร่วมกับอาการปวดมวนท้องน้อย มีไข้ต่ำ และคลื่นไส้ อาเจียน แม้โรคนี้จะไม่ร้ายแรงแต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค มีรายงานออกมาว่า ในช่วงปีที่ผ่านมามีผู้ป่วยด้วยโรคท้องร่วง 1ล้านกว่าคน หรือคิดเป็นอัตรา 2102.78ต่อแสนประชากร โดยมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้ถึง 55คน หรือคิดเป็นอัตรา 0.09ต่อแสนประชากร

โดยจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5อันดับแรกคือ ฉะเชิงเทรา (4883.53ต่อแสนประชากร) อํานาจเจริญ (4626.70ต่อแสนประชากร) ระยอง (4176.97ต่อแสนประชากร) ตาก (3752.63ต่อแสนประชากร) และภูเก็ต (3540.50ต่อแสนประชากร)

ส่วนภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคเหนือ 2435.23ต่อแสนประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2205.83ต่อแสนประชากร ภาคใต้ 2138.58ต่อแสนประชากร และภาคกลาง 1798.38ต่อแสนประชากร ตามลําดับ

ใครคือกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง

ทุกคนมีสิทธิจะเผชิญกับโรคท้องร่วง จากรายงานการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคในปี 2553พบว่า กลุ่มอายุที่ป่วยด้วยโรคท้องร่วงมากที่สุดคือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65ปีขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มคนวัยแรงงานที่มีอายุระหว่าง 25-54ปี กลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-24และกลุ่มเด็กที่มีต่ำกว่าอายุ 1ปี

ภาพที่ 2จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคท้องร่วงจำแนกตามกลุ่มอายุ ในปี 2553

ภาพที่ 2 จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคท้องร่วงจำแนกตามกลุ่มอายุ ในปี 2553

 

สำหรับข้อมูลการเสียชีวิต พบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65ปีขึ้นไป มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 21คน รองลงมาคือ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 45-54ปี มีจำนวน 11คน และกลุ่มเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1ปี กับกลุ่มวัยแรงงานที่มีอายุระหว่าง 25-44ปี เสียชีวิตเท่ากันคือ 8คน

ภาพที่ 3จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคท้องร่วงจำแนกตามกลุ่มอายุ ในปี 2553

ภาพที่ 3 จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคท้องร่วงจำแนกตามกลุ่มอายุ ในปี 2553

 

 

ที่มา : สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสุขภาพ

Shares:
QR Code :
QR Code