ผลักดัน แผนส่งเสริมกิจกรรทางกายลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง
ที่มา : สยามรัฐ
แฟ้มภาพ
คนไทยทุกกลุ่มวัยต้องมีกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง ลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานมะเร็ง หัวใจและหลอดเลือดเป็นต้น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่ายส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เปิดตัวแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย พ.ศ.2561-2573 ภายใต้วิสัยทัศน์ ประชาชนมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงด้วยกิจกรรมทางกาย ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งนับเป็นแผนส่งเสริมกิจกรรมทางกายฉบับแรกของประเทศไทย
จากการประชุมระดมกำลังของภาคี ทำให้เกิดยุทธศาสตร์การพัฒนา 3 ด้าน 1.การส่งเสริมพฤติกรรมทางกายประชาชนทุกกลุ่มวัย2.การส่งเสริมสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกายและ3.การพัฒนาระบบสนับสนุนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายโดย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายฉบับนี้ อิงมาจาก แผนฯ ที่ประกาศโดยสหประชาชาติซึ่งประเทศไทย นำโดยนายกรัฐมนตรีร่วมลงนามในพันธสัญญาที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ความยั่งยืน หนึ่งในเป้าหมายหลัก คือเรื่องการมีสุขภาพดีของพลเมืองโลก นำมาซึ่งการกำหนดแผนร่วมกัน
"ถือได้ว่าประเทศไทยเป็นผู้นำในการกระตุ้นสังคม จึงจำเป็นที่จะต้องมีแผนที่สอดคล้องกับนานาชาติ แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายฉบับนี้ จึงเป็นแผนฯ ที่มีความสำคัญต่อพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ทุกภาคส่วนจึงต้องช่วยกันส่งเสริมเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้พลเมืองไทยทุกคนรู้ว่าการมีกิจกรรมทางกายพอเพียงเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
กิจกรรมทางกาย คือการเคลื่อนไหวร่างกายในทุกอิริยาบถในวิถีชีวิตประจำวัน แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ กิจกรรมทางกายระดับเบาเป็นการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันที่จะรู้สึกเหนื่อยน้อยกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง ทำให้รู้สึกเหนื่อยปานกลาง เช่น การเดินเร็วปั่นจักรยาน และกิจกรรมทางกายระดับหนัก คือกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก นั่นคือ การออกกำลังกายนั่นเอง
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)กล่าวถึงความสำคัญในการผลักดัน แผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย และรณรงค์ให้ทุกเพศทุกวัยมีกิจกรรมทางกายในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น ว่าหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ คือประเทศไทยรณรงค์เรื่องกีฬามานาน ต่อมาคือการออกกำลังกาย แต่ความรู้ระยะหลังชี้ชัดว่า การเคลื่อนไหว หรือการลดพฤติกรรมเนือยนิ่งของคนนั้นสำคัญไม่แพ้ไปกว่าการออกกำลังกาย ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสัมพันธ์กับโรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันสูง
"คนไทย75%เสียชีวิตเพราะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ปัจจัยเสี่ยงคือพฤติกรรมเนือยนิ่ง ปัจจัยเสริมคือ ความกระฉับกระเฉง นี่จึงเป็นที่มาของแผนฯ ดังนั้น แผนแม่บทฉบับนี้จะช่วยเป็นแนวทางเพื่อช่วยให้คนไทยมีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงขึ้น เพราะว่ากิจกรรมทางกายในทุกช่วงวัยยังเพิ่มขีดความสามารถได้ อีก สสส.และภาคีที่เกี่ยวข้องจะพยายามให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของเรื่องนี้รวมถึงพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมทางกายในทุกภาคส่วนทั้งกระทรวง องค์กร และชุมชนต่อไป" ดร.สุปรีดา กล่าว
ด้านนางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีภารกิจหลักในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ผ่านระบบการศึกษา จึงให้ความสำคัญในการส่งเสริมกิจกรรมทางกายทั้งในส่วนของการจัดกิจกรรมและจัดสภาพแวดล้อม ซึ่งมีวิชาที่เอื้อให้เด็กออกกำลัง นั่นคือ วิชาพลศึกษา นอกจากนี้ ยังมีระบบการเดินเรียน เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายด้วย
นายธนา ยันตรโกวิท รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่าส่วนสำคัญที่กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ คือ เรื่องผังเมืองและท้องถิ่นซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายใน 2 มิติคือ 1.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องสถานที่ และการวางผังเมืองที่เอื้ออำนวย 2.ด้านกิจกรรมที่ส่งเสริมกิจกรรมออกกำลังกายซึ่งมีการศึกษาร่วมกับ สสส. เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่นำมาประยุกต์กับการออกกำลังกาย เช่น โนราบิก รำกระด้ง เป็นต้น
เช่นเดียวกับกระทรวงแรงงานที่มีส่วนเข้าไปดูแลในเรื่องของการดูแลสภาพแรงงานของลูกจ้างและพนักงานทั่วประเทศโดยนายวรรณรัตน์ ศรีสุกใส ผู้อำนวยการกองความปลอดภัยแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีกำลังแรงงานประมาณ 30 กว่าล้านคนคนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันความเจริญเติบโตของประเทศ หากคนเหล่านี้มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง ย่อมส่งผลต่อผลผลิต กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ในสถานประกอบการ ร่วมกันผลักดัน จัดให้มีกิจกรรม เช่น เดินไปตามจุดต่างๆ ในระหว่างการทำงาน การขึ้นลงบันได การลุกนั่ง และการออกกำลังกายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กระทรวงแรงงานดำเนินการมาโดยตลอด โดยพร้อมสนับสนุนและทำให้กิจกรรมเหล่านี้แพร่หลายไปในพี่น้องประชาชน รวมไปถึงผู้ใช้แรงงานทุกแห่ง
นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเป็นผู้นำด้านส่งเสริมกิจกรรมทางกายในระดับโลก