ประยุกต์ชีวิตติด ‘เขียว’

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของชาวบ้านที่กำลัง “มุง” ควันระเหยที่กลายมาเป็นน้ำนอนกันอยู่ในขวดแก้วใบเขื่อง “…เท่านี้เราก็จะได้แล้ว 1 ขวดเต็ม” เสียงวิทยากรชี้ไปยัง น้ำส้มควนไม้ ผลิตภัณฑ์ของแถมภายในฐานการเรียนรู้เรื่อง “คนเอาถ่าน” ของ ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ บ้านศรีเจริญ ต.เลยวังไสย์ อ.ภูหลวง จ.เลย

หากลองไล่สายตาไปตามแนวเขาสลับซับซ้อนของพื้นที่ ก็จะพบเรือนไม้ที่ก่อขึ้นอย่างง่ายๆ ซุกตัวอยู่ตามบริเวณต่างๆ ทั้งหมดถูกใช้เป็นห้องเรียนธรรมชาติเพื่อถ่ายทอดความรู้เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้น

ยุคที่มูลค่าการใช้ชีวิตนับวันจะยิ่งแพงขึ้นแนวเกษตรทางเลือกรวมทั้งการพึ่งพิงตัวเองของคนเราจึงมักถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งการประยุกต์ “สีเขียว” ให้เข้ากับชีวิตด้วย

หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำริขึ้น 6 แห่งทั่วทุกภูมิภาค เพื่อทำหน้าที่ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” รวบรวมสรรพวิชาในการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย วิธีแก้ไขปัญหาด้านเกษตรกรรมที่ครอบคลุมปัญหาเรื่อง น้ำ ดิน และป่าไม้

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ แต่ละแห่งล้วนมีลักษณะ “เฉพาะ” ตามแต่ภูมิภาคเป็น”ต้นแบบของความสำเร็จ”ให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไปได้เข้าไปศึกษาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อันนำไปสู่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่อย่างมีความสุขต่อไป

ในปีงบประมาณ พ.ศ.2553 กรมการปกครองจึงได้กำหนดให้อำเภอทั้ง 878 อำเภอ จัดตั้งศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในระดับอำเภอ และให้คณะกรรมการบริหารงานอำเภอแบบบูรณาการเป็นคณะทำงานหลักในการขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้ในการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริระหว่างศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6 แห่ง ภายใต้การดำเนินงานของ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง หรือ กปร.

 

ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติภูหลวง มูลนิธิเลยเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นศูนย์อบรมในเครือข่ายศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง ก่อตั้งเมื่อเดือนสิงหาคม 2547 เพื่อฝึกอบรมหลักสูตร”การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง”โดยการสนับสนุนของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติกรมพัฒนาที่ดิน และโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ผาบ่าวผาสาว จังหวัดเลย

“เราน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินงาน” สายันต์ อนันเต่า หนึ่งในทีมวิทยากรและควบตำแหน่งผู้อำนวยการของศูนย์กสิกรรมธรรมชาติภูหลวงบอก

“ทำเรื่องสำคัญก่อนใช้ความรู้และคุณธรรมเริ่มต้นจากพึ่งตนเองก่อนพึ่งพึ่งตนเองด้วยการกินการอยู่ การใช้ให้พอเพียงการปลูกป่า 3 อย่างเพื่อประโยชน์ 4 อย่างคือ ป่าเพื่อกิน เพื่ออยู่ เพื่อใช้ และเพื่อสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยการทำแนวระดับ และการใช้แฝกการสาธิตการทำป่าเปียก การพัฒนาพลังงานทดแทน” เขาอธิบาย

ประเด็นหลักๆ ที่เขาพูดถึงคือแนวคิดในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยอาศัยพื้นที่ที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ่ายทอดผ่านกิจกรรมภายในศูนย์เรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นการทำปุ๋ยและน้ำหมักชีวภาพ การทำน้ำยาเอนกประสงค์การเพาะชำกล้าไม้ท้องถิ่น การเผาถ่านและน้ำส้มควนไม้การทำนากล้าต้นเดียว การเพาะเห็ด (ขอนขาว) พลังงานทางเลือก (กังหันลมปั่นไฟ แก๊สมูลสัตว์ เตาแก๊สแกลบ ตะบันน้ำ) การทำแนวระดับและแฝก หรือหมูหลุม

“ในช่วงแรกที่ก่อตั้งเราไม่ได้ใช้ไฟฟ้าจากหลวงเลย” ผอ.คนเดิมเปรยถึงประสิทธิภาพของการจัดการที่เกิดขึ้น ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะภายใจศูนย์ฯมีการนำกับหันลมและแผงโซลาร์เซลล์มาใช้เป็นต้นกำเนิดพลังงานไฟฟ้า เพื่อเปิดไฟรายทางบริเวณภายในศูนย์ฯ ซึ่งปัจจุบันด้วยสภาพพื้นที่ที่มีการขยายส่วนออกไปทำให้พลังจากจากธรรมชาติดังกล่าวไม่เพียงพอ จังมีการให้กลับมาใช้ไฟฟ้าจากรัฐในที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้น ที่นี่ก็ยังโดดเด่นในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมโดยเฉพาะ “เครื่องตะบันน้ำ” ที่เป็นการผันน้ำจากที่ต่ำขึ้นสูงที่สูงโดยอาศัยแรงดัน และช่องว่างของอากาศภายในท่อสูบน้ำขึ้นมาเป็นต้นกำเนิดแรงซึ่งก็มีกลุ่มเกษตรต่างๆ แวะเวียนมาดูงานอยู่ไม่ขาดสาย

นอกจากนวัตกรรมเขายังเล่าถึงกิจกรรมที่ปรับตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงโดยยึดหลัก 6 ออม คือ

ออมดิน การปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพและการคลุมดินห่มดินและพืชตระกูลถั่วปรับปรุงบำรุงดิน

ออมน้ำ การอนุรักษ์แหล่งน้ำของชุมชนการจัดการการใช้น้ำเช่นฝายแม้วเครื่องตะบันน้ำการใช้วัสดุคลุมดินเพื่อรักษาความชุ่มชื้นการปลูกพืชต่างระดับคลุมผิวดิน

ออมพืช ส่งเสริมการปลูกพืชทุกชนิดตามแนวคิดเอาป่าภูหลวงมาไว้บ้านโดยเฉพาะการปลูกพืชผักพื้นเมืองเช่นผักหวานป่า หวาย ตาว ผักขี้นากฯ กินทุกอย่างที่ปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน

ออมสัตว์ ส่งเสริมให้ชุมชนเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อการบริโภคในครัวเรือน และการใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์ มีกิจกรรมเลี้ยงหมูหลุม เลี้ยงเป็นพื้นเมือง ไก่พื้นเมือง และเลี้ยงปลา

ออมคน ส่งเสริมอาชีพในชุมชน ลดการเดินทางไปขายล็อตเตอรี่และการไปทำงานในเมือง

ออมเงิน ส่งเสริมให้ชุมชนออมทรัพย์ด้วยกลุ่มออมทรัพย์ และร้านค้าชุมชนปลูกพืชเพื่อเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของครอบครัว เช่น หวาย ตาว ผักหวานป่า และธนาคารต้นไม้

“ชุมชนจะมีการประชุมประจำเดือนทุกเดือนและการประชุมเครือข่ายทั้งระดับพื้นที่ภูมิภาค และระดับประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อสรุปปัญหา หาแนวทางในการพัฒนาชุมชนและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายต่างๆ เช่น การประชุมเวทีพลังงานชุมชนการทำวิจัยอาหารการวิจัยปลา วิจัยพืชท้องถิ่น การฝึกอบรมเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงการเรียนรู้การผลิตและแปรรูปสมุนไพร ร่วมกับ เครือข่ายสุขภาพของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรมของศูนย์ฯ อยู่ที่ยอดของผู้เข้าอบรมในแต่ละปี ซึ่งมีทั้งประชาชนในพื้นที่ ชุมชนใกล้เคียงและกลุ่มชาวบ้านจากต่างจังหวัด มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไม่น้อยกว่า 2,000 คนต่อปี ตามหลักฐานการลงทะเบียนผู้เข้าอบรม

วันนี้กว่าทศวรรษที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติจะทำหน้าที่เป็นตักศิลาถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อต้องการให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่จากหยุดพัฒนาตนเองในทางกลับกันยังมีการพัฒนาแนวคิดและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเตรียมป้อนเป็นความรู้สู่สาธารณะต่อไป และเป็นการประยุกต์ชีวิตสีเขียวอย่างแท้จริงอีกด้วย

“ยังต้องพัฒนากันอยู่เรื่อยๆ ครับ” สายันห์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม น้ำส้มควันไม้ คือ หยดน้ำที่ได้จาการควบแน่นของควันซึ่งเกิดจาการเผาถ่าน มีประโยชน์ทางการเกษตรทั้งเป็นสารปรับปรุงดิน กำจัดศัตรูพืช เร่งการเติบโตของพืช

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code