“บริโภคยาถูกวิธี” ลดเสี่ยงเป็นพิษต่อตับ

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


ทุกวันนี้หลายคนต้องเจอกับปัญหาสุขภาพสารพัดทำให้ชีวิตไม่มีความสุข โดยเฉพาะโรคตับ ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบ เกิดจากพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน และอีกสาเหตุสำคัญการใช้ยาที่เป็นอันตรายต่อตับ


“บริโภคยาถูกวิธี” ลดเสี่ยงเป็นพิษต่อตับ thaihealth


แฟ้มภาพ


ท่ามกลางสถานการณ์คนเจ็บป่วยด้วยโรคตับสูงขึ้น ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และชมรมเภสัชชนบท หาวิธีช่วยลดความเสี่ยง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน โดยจัดงาน "เตือนภัยยาที่มีพิษต่อตับ" เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนมาตรการที่เหมาะสมในการจัดการยาที่มีพิษต่อตับ เมื่อวันก่อน


ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า จากที่ได้จัดทำรายงานแผนพัฒนาระบบยาเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดจากระบบยาที่มีต่อสุขภาพ เฝ้าระวังและจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบยาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งจากการทำงานพบว่า "โรคตับ" เป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของไทย มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ และอีกหนึ่งในสาเหตุที่ละเลยไม่ได้คือ พฤติกรรมบริโภคยา โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) ชนิดรับประทานใช้เป็นยาต้านเชื้อรา และยาที่มีส่วนผสมของพารา เซตามอล (paracetamol) ซึ่งเป็นยาแก้ปวดลดไข้ เนื่องจากยาดังกล่าวหากมีการใช้อย่างไม่ถูกต้องจะเกิดพิษต่อตับ มีผลร้ายแรงเรื้อรัง และอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้


"ผลสำรวจในประเทศไทยว่า ผู้ป่วยเกือบ 1,000 คนที่เป็นโรคตับจากการรับประทานยาพารา เซตามอลเกินขนาด ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ถึง 37% โดยยาพาราเซตามอลน้ำสำหรับเด็กมีหลายยี่ห้อหลายขนาดตั้งแต่ 120 มิลลิกรัม และ 250 มิลลิกรัม แม้ว่ากล่องจะมีสีเดียวกัน แต่มีขนาดของยาต่างกันทำให้ผู้ปกครองไม่ทันสังเกตเวลาเลือกซื้อ ปัญหาการบริโภคยาเกินขนาดในเด็กเล็กจึงเพิ่มสูงขึ้น ปริมาณยาของเด็กต้องให้ตามอายุและน้ำหนักตัว ผู้ปกครองควรตรวจเช็กความถูกต้อง โดยปริมาณที่เหมาะสม อยู่ที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หากซื้อยาให้ลูกด้วยตนเองแนะนำให้แจ้งอายุและน้ำหนักของลูกกับเภสัชกรประจำร้านก่อนทุกครั้งเพื่อลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น" ผศ.ภญ.ดร.นิยดา


สำหรับ คีโตโคนาโซล ชนิดรับประทาน มีการทำเรื่องขอยกเลิกยาในหลายประเทศและอยู่ระหว่างการเรียกคืน เนื่องจากมีพิษต่อตับมาก หลายประเทศได้สร้างมาตรการควบคุม ทั้งการเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ระงับการขาย ตลอดจนประกาศมาตรการจัดการความเสี่ยง เช่น ควบคุมการจำหน่ายและใช้ในโรงพยาบาล ออกคำเตือนต่อผู้ประกอบวิชาชีพและประชาชน เป็นต้น ในส่วนของประเทศไทยยังมีการใช้อยู่ถึง 89 ทะเบียนยา ที่ผ่านมามีการเรียกร้องบริษัทในประเทศไทย 89 บริษัท ขอถอนทะเบียนตำรับยาเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค


ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พารา เซตามอลเป็นยาลดไข้ที่ดีที่สุดที่ใช้ในปัจจุบัน แต่อันตรายจากการใช้พาราเซตามอลคือ การเกิดความเป็นพิษต่อตับ ส่งผลตั้งแต่การทำงานของตับไปจนถึงภาวะตับวายอย่างเฉียบพลัน และนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ซึ่งการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่อตับผลจากการรับประทานยาเกินขนาด


สำหรับมาตรการการจัดการที่แนะนำแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่


1.เพิกถอนทะเบียนยา พาราเซตามอล ชนิดฉีด 300 มิลลิกรัม (มก.) ต่อหลอด ซึ่งน้อยเกินกว่าจะออกฤทธิ์ โดยบางชนิดยังมีการผสมยาชา 10 มิลลิกรัม


2.ถอนทะเบียนยา พาราชนิดแตกตัวดูดซึมทันที โดยเฉพาะสูตร 650 มิลลิกรัมต่อเม็ด


3.ต้องมีข้อความ "ยานี้มีพาราเซตา มอลเป็นส่วนประกอบ" คาดบนฉลากยาผสม


4.ฉลาก ยาควรระบุความแรงของยาเป็นภาษาไทย


5.ยาน้ำ สำหรับเด็กแต่ละช่วงวัยต้องมีรูปแบบที่แยกออกจากกันได้เพื่อป้องกันการใช้ยาผิด


“การบริโภคยาพาราเซตามอลเกินขนาดจะไม่เห็นอาการในเร็ววันจะเห็นก็ต่อเมื่อระยะอันตรายเป็นตับอักเสบ ตับแข็ง และก่อให้เกิดมะเร็งตับแล้ว ดังนั้นควรใช้ยาเมื่อมีความจำเป็น เพิ่มความระมัดระวังโดยการอ่านฉลากข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัดทุกครั้งที่จะมีการใช้ยา เพื่อป้องกันการใช้ยาซ้ำซ้อน ที่สำคัญคือ ไม่ควรบริโภคเกินวันละ 2 กรัม หรือ 4 เม็ด และไม่ควรบริโภคติดต่อกันนานมากกว่า 5 วัน” ผศ.นพ.พิสนธิ์ ทิ้งท้ายถึงผู้บริโภคควรหยุดบริโภคยาที่มีพิษต่อตับ และรัฐควรสร้างมาตรการควบคุมยาพาราเพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง


 


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code