นักวิชาการเรียกร้องเปิดพื้นที่ดีรับปิดเทอม
ชวน อบต.ดึงเด็กทำกิจกรรมช่วงปิดเรียน
เข้าสู่บรรยากาศช่วงปิดเทอมเมื่อไหร่ สมัยก่อนเราก็มักจะเห็นแต่รอยยิ้มของเด็กๆ ที่เฝ้ารอว่าจะปิดเรียนแล้ว จะได้มีเวลาเล่นมากขึ้น มีเวลาดูทีวีเยอะขึ้น แต่ปัจจุบันนี้ รอยยิ้มเหล่านั้นออกจะดูเลือนลาง เพราะเด็กๆ สมัยนี้ ปิดเทอมก็ต้องหาวันเวลาที่จะไปเรียนพิเศษ กวดวิชา และยิ่งสถาบันกวดวิชาสมัยนี้มีให้เลือกเป็นร้อยเป็นพัน อยู่ใกล้ห้างบ้าง บางแห่งก็อยู่ในห้าง เสร็จสรรพเด็กเลิกเรียนพิเศษแล้วก็เดินเล่นต่อในห้างได้ทันที เพราะในห้างมีสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของเด็กอยู่ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง เล่นเกม มีเสื้อผ้า ของใช้กิ๊บเก๋สารพัดอย่างที่เด็กๆ จะเลือกได้
ความห่วงใยในการเฝ้าดูเด็กๆ ที่จะเกิดความเสี่ยงในช่วงปิดเรียนนั้นดูแล้วออกจะมีอยู่มาก ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ กล่าวว่า จะพบว่าเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นกินเหล้า เมายา เที่ยวเตร็ดเตร่ แนวโน้มช่วงปิดเทอมนั้นถือเป็นช่วงที่จะมีความรุนแรงขึ้นเพราะมีเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น แต่เดิมช่วงเวลาเสี่ยงของเด็ก คือหลังเลิกเรียน แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียนแล้ว ทำให้เด็กมีเวลาว่างมากขึ้น บ้างก็ออกไปอยู่บ้านเพื่อนทั้งวัน พ่อแม่ผู้ปกครองก็อาจละเลย ซึ่งก็จะส่งผลต่อการทำให้เด็กเกิดความเสี่ยงสูง ในการไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม โดยเด็กที่ถูกเรียกว่าสุ่มเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็คงหนีไม่พ้นในช่วงวัยมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งถือเป็นช่วงที่ร่างกายมีพลังเหลือเฟือ ขณะที่จะมีเด็กบางกลุ่มที่ไม่ได้ปิดเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เช่น บางโรงเรียนที่อาจจะไม่ปิด เพราะเร่งเรียนเสริมในรายวิชาที่ยังไม่ครบถ้วน และอีกกลุ่มคือเด็กที่ไปเรียนพิเศษชนิดที่เรียกว่าเข้มข้นเป็นพิเศษ จากผลสำรวจพบว่า เด็กระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายมีการเรียนพิเศษเป็นประจำหรือเกือบทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมงถึง 24% ขณะที่เด็กมัธยมศึกษาตอนปลาย เรียนพิเศษ 32% โดยเป็นการเรียนเพื่อกวดวิชาและเรียนเพื่อเตรียมตัวศึกษาต่อ กลายเป็นว่า “ทุกวันนี้เด็กถูกช่วงชิงพื้นที่ความเป็นเด็กออกไป เด็กเครียด จมอยู่กับระบบการแข่งขันเข้าเรียน และเมื่อปิดเทอมแล้วยังตอกย้ำให้เด็กเรียนพิเศษอีก ซึ่งก็น่าสงสารเด็กเหมือนกัน”
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันให้เด็กได้มีกิจกรรมทำแทนการไปทำสิ่งที่ไม่ดีในช่วงปิดภาคเรียน คือ การเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้แก่เด็ก โดยต้องเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ โรงเรียน ชุมชน สถานประกอบการและผู้ปกครอง ในการจัดทำโครงการช่วงปิดเทอม อาทิ โครงการบำเพ็ญประโยชน์ จิตอาสา หรือการมีองค์กร อย่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. สนับสนุนการดำเนินการก็ได้ เช่น การจัดชมรมทำหุ่นยนต์ หรือจัดค่ายต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมความคิดของเด็ก ๆ รวมทั้งการชวนให้ อบต.ทั่วประเทศทำกิจกรรมช่วงปิดเทอมให้เด็ก เพราะที่ผ่านมาในบางพื้นที่ก็มีการสร้างกิจกรรมดีๆ ให้เด็กๆ เช่น การจ้างเด็กทำงานใน อบต.
“ถ้าเอาเด็กมาวางเรียงกัน 100 คน เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีประมาณ 10-20% อีก 70-80% ก็คือเด็กทั่วๆ ไป ทั้งนี้ช่วงปิดเทอมน่าจะเป็นเวลาที่ค้นหาศักยภาพของตนเอง หลายๆ แบบ ซึ่งตรงนี้เราไม่ค่อยมี ซึ่งหากเราร่วมมือกับโรงเรียน ชุมชน ทำโครงการช่วงปิดเทอมเยอะๆ ที่ไม่ใช่เพียงการประกวดสาวผิวใส หรือหน้าเด้งเท่านั้น แต่ควรมีโครงการค่ายบำเพ็ญประโยชน์ จิตอาสา และมีองค์กรอย่าง สสส. ไปให้ทุน เช่น เค้าอยากจะมีชมรมทำหุ่นยนต์ สสส. ก็ลงไปช่วยให้เค้าริเริ่มตรงนี้ได้ อันนี้คือสิ่งที่เด็กทั่วๆ ไปอยากได้ เด็กไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในบรรยากาศของการเรียนหนังสือ แต่ไม่ค่อยได้รับโอกาสค้นหาศักยภาพของตัวเอง หรือสำรวจสิ่งที่ตัวเองชอบเท่าไหร่ ดังนั้นหากมีพื้นที่สร้างสรรค์สำรวจให้เด็กได้สำรวจความสนใจตัวเองก็จะดีมากๆ”
ดร.อมรวิชช์ ยังเชื่อว่า การให้เด็กได้เข้าร่วมค่ายจิตอาสาจะช่วยสร้างคุณธรรมในใจให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะความละเอียดอ่อนของจิตใจได้มาด้วยการสัมผัสความทุกข์ยากของผู้อื่น
ส่วนที่หลายคนเชื่อว่าการทำกิจกรรมส่วนใหญ่ก็มักจะดึงเอาเด็กที่ถือว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เป็นกลุ่มเด็กทั่วไปที่ชอบทำกิจกรรม และไม่ค่อยเป็นเด็กที่มีปัญหานั้น อาจารย์อมรวิชช์ บอกว่า ความจริงแล้วบางครั้งเราก็อาจเข้าไม่ถึงกลุ่มเด็กที่มีปัญหาจริงๆ เพราะอาจเป็นจากระบบราชการ ซึ่งการทำงานผ่านเอ็นจีโอ หรือภาคประชาสังคม อย่างกลุ่ม ซ โซ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นครูข้างถนน ช่วยสอนเด็กๆ เร่ร่อน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ดังนั้นตนเชื่อว่าการจะเข้าให้ถึงเด็กกลุ่มเสี่ยงจริงๆ คือ การให้โอกาสภาคประชาสังคมหรือเอ็นจีโอเป็นตัวขับเคลื่อน และการปลดล็อกกฎระเบียบจัดซื้อจัดจ้างพัสดุทางราชการ ที่มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์เรื่องการให้เงินสนับสนุนต่อองค์กรที่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งส่วนนี้มีผลกระทบต่อบางหน่วยงานที่ทำงานเพื่อเด็ก เพื่อสังคมจริงๆ แต่อาจไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หากมีการปลดล็อกในส่วนนี้ได้และสร้างกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจนต่อการให้เงินตัวบุคคลไปดำเนินกิจการ เชื่อว่าก็จะทำให้แก้ปัญหาเรื่องการเข้าไม่ถึงกลุ่มเด็กเสี่ยงได้
ขณะที่ห่วงใยเด็กในเรื่องของการดำเนินชีวิตในทุกวันแล้ว เราคงไม่ลืมเรื่องของอาหารการกินของเด็กๆ ที่ต้องไม่ลืมว่าสำคัญไม่แพ้กัน เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง คำพูดที่มักคุ้นหูกันทุกคน
จึงมีคำแนะนำดีๆ จากอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนการสมวัย ว่า จากงานวิจัยจะพบว่าในช่วงปิดเทอมนั้น เด็กจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กๆ จะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์และตามใจปาก โดยที่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจไม่ได้ดูแล และอาหารที่หาซื้อง่ายๆ เช่น ช็อกโกแลต ไอศกรีม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งถือเป็นอาหารที่ขายดีที่สุดในช่วงปิดเทอมทีเดียว ที่สำคัญก็ไม่ค่อยมีการออกกำลังกาย เผาผลาญไขมัน ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับอาหารของลูก ๆ โดยการจัดเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ให้ลูกได้รับประทาน ถ้าลูกชอบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็อาจต้องใส่ผัก ลูกชิ้น หมูสับตามชอบเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร และต้องคอยเตือนเรื่องการดื่มน้ำอัดลม เพราะน้ำอัดลม 1 ขวดเท่ากับน้ำเปล่าที่มีน้ำตาลละลายอยู่ 10-15 ช้อน ถ้าหลีกเลี่ยงที่จะให้ลูกหลานรับประทานได้ก็จะเป็นการดี โดยอาจต้องจัดเตรียมผลไม้ไว้ในตู้เย็นแทนขนมให้ลูกๆ หรือน้ำผลไม้ ยิ่งถ้าเลือกซื้อเป็นกล่องน้ำผลไม้ที่วางขายอยู่ตามร้านค้าและห้างสรรพสินค้าทั่วไป ก็ต้องดูว่าผ่านมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ด้วย
คำเตือนดีๆ เหล่านี้ เป็นเสียงสะท้อนที่อยากเปล่งเสียงดังๆ บอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสนใจกับลูกๆ หลานๆ โดยเฉพาะช่วงปิดภาคเรียน อย่าคิดว่าปิดเรียนแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไร เพราะบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่อาจมองข้ามไป จนเรื่องเล็กๆ อาจบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
ไม่ว่าจะปิดหรือเปิดเรียน ลูกก็คือดวงใจของพ่อแม่ที่ต้องคำนึงถึงทุกลมหายใจ…
ที่มา : สุนันทา สุขสุมิตร Teamcontent www.thaihealth.or.th
Update : 14-10-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร