ถ้ารัก คือ การให้ แล้วคุณให้คนที่คุณรักสวมหมวกนิรภัยแล้วหรือยัง??
“รักคือการให้” เรามักจะได้ยินประโยคนี้อยู่เสมอ และสามารถรับรู้ได้ถึงความรัก ความปรารถนาดี ความห่วงใย ที่อีกคนส่งไปยังอีกคนหนึ่ง แล้ววันนี้คุณได้ให้อะไรกับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยถึงคนที่คุณรักไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง คุณก็ย่อมอยากเห็นเขามีชีวิตที่ดี อยากอยู่กับเขาไปตลอด ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องให้ความรักผ่านหมวกนิรภัยให้กับเขา คนที่คุณรัก
เราคงทราบกันดีว่า อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เราคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ ว่าจะเกิดขั้นเมื่อใด เกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นกับใคร และคุณคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุณรัก หรือแม้กระทั่งตัวคุณเอง ก็คงยังต้องโดยสารหรือขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่ แล้วคุณให้ความสำคัญกับการป้องกันการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์มากเพียงใด หากคุณคิดว่ามันคงเป็นเรื่องไกลตัว คงไม่เกิดกับเรา หรือคนใกล้ชิดเราหรอก คุณคงคิดผิดที่สุดเพราะปัจจุบัน ปัญหาสถานการณ์ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะการบาดเจ็บและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์
จากผลการสำรวจพบว่า 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เป็นรถจักรยานยนต์ ครึ่งหนึ่งนั้นได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ และยังพบว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุ ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยที่ต่ำมากคือ ผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัยร้อยละ 14 ส่วนผู้นั่งซ้อนท้ายสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 4.7 ส่วนในเด็กและวัยรุ่น สวมหมวกนิรภัยในอัตราที่ต่ำกว่าผู้ใหญ่
คุณรู้หรือไม่ว่า รัฐบาลเขาก็รักและห่วงใยประชาชนไม่น้อย เพราะได้เล็งเห็นถึงปัญหาการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล ดังนั้น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบในการกำหนดให้ พ.ศ.2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และกำหนดให้ปี พ.ศ.2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญของปัญหานี้เป็นอย่างมาก อยากให้ประชาชนผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ และค่านิยม ให้ตระหนักถึงเรื่องของความปลอดภัย โดยการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลได้ทำนั้น ก็ทำด้วยความรัก ความห่วงใยประชาชน ไม่อยากเห็นความสูญเสียไปมากกว่านี้ จะเห็นได้ชัดเจนที่มีกฎบังคับใช้อย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ จะต้องสวมหมวกนิรภัย หากมีการละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษปรับ คือ ฝ่าฝืนมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ขณะที่ผู้ขับขี่ที่มีผู้โดยสารนั่งซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท การที่ได้ออกกฎหมายเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการให้ผู้ขับขี่หันมาสวมหมวกนิรภัย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวคุณเอง
แต่หลายคนนั้น ก็ยังคงมีข้อขัดแย้งในใจหลายๆ ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการคิดที่ว่า จะสวมทำไมตั้ง 2 คน ให้แค่คนขี่สวมคนเดียวก็พอ ต้องไปหาซื้อให้วุ่นวาย สวมแล้วร้อน สวมแล้วผมยุ่งเสียทรง ไปแค่นี้เองไม่ต้องสวมก็ได้ ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดเสียว่าเป็นเวรกรรม ฯลฯ ถ้าคุณคิดว่าที่กล่าวมานั้น เป็นเหตุผลที่คุณจะไม่สวมหมวกนิรภัย คุณคิดว่ามันคุ้มแล้วหรือ ที่ต้องแลกกับชีวิตของคุณหรือคนที่คุณรัก ที่อาจจะต้องบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตไป กับแค่เหตุผล ที่เป็นเพียงข้ออ้าง
วันนี้ยังไม่สายเกินไป ที่คุณจะหันมามองคุณค่าของชีวิต เพียงแค่ทุกครั้งคุณหยิบหมวกนิรภัยขึ้นมาสวม หรือคอยเตือนให้คนที่คุณรักสวมหมวกนิรภัย เมื่อขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาสได้บอกรักเขาอีกต่อไป โดยเฉพาะท่านที่มีบุตรหลานตัวเล็กๆ ที่กำลังอยู่ในวัยเรียนอันน่ารัก ท่านจะรักเขาอย่างไรดี หรือจะเลือกหมวกนิรภัยน่ารักๆ ที่ได้มาตรฐานสักใบ มามอบให้เขาเพื่อเป็นการแสดงความรัก ความห่วงใย น่าจะดี…
ที่มา: สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ