ตามดู’นวัตกรรมชุมชน’พลิกวิกฤติเป็นโอกาสเปลี่ยน’ขยะ’เป็นเงิน
“จากที่เห็นเด็กๆ ในหมู่บ้านชอบปั่นจักรยานเที่ยวเล่นกันทุกวัน จึงเกิดไอเดียบรรเจิดว่า น่าจะพ่วงการจัดเก็บขยะเข้าไปด้วยโดยจัดตั้งเป็น ชมรมจักรยานสานฝัน หากเห็นขยะที่ไหนก็เก็บขยะที่นั่น และทาง อบต.จะเป็นผู้รับซื้อขยะเหล่านั้น ถ้าเป็นขยะพลาสติกถุงพลาสติก คิดให้กิโลกรัมละ 10 บาท แต่ถ้าเป็นกระป๋องน้ำดื่ม น้ำอัดลม จะอยู่ที่ใบละ50 สตางค์”
“มหาอุทกภัย” ครั้งใหญ่ผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งที่น้องน้ำทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าคือ “ขยะกองมหึมา” ที่หน่วยงานเกี่ยวข้องยังไม่สามารถจัดเก็บได้ทัน
สภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการขยะที่ขาดการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ ซึ่งในระยะยาวควรมีการจัดทำ “แผนการจัดการขยะ” รองรับ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่เรายังสามารถนำขยะกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และถือเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน เทศบาลตำบลปริก อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลาตำบลศูนย์เรียนรู้สุขภาวะชุมชน โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นตัวอย่างของการจัดการขยะที่เป็นรูปธรรม โดยคนในชุมชนยึดหลักเดียวกันคือ “ขยะของฉันฉันจัดการเองได้” เน้นการคัดแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์
นายบังหลี – อาหลี หมัดหนิ พ่อค้าขายอาหารในตำบลปริก เล่าว่า แต่เดิมเศษอาหารในร้าน จะถูกเททิ้งรวมกับขยะอื่นๆ แต่จากที่ได้ทดลองนำวิธีคัดแยกขยะมาใช้เริ่มจากคัดแยกเศษอาหารออก ปล่อยให้เกิดการย่อยสลายภายในหลุม จนกลายเป็นก๊าซชีวภาพ ทำให้มีพลังงานทดแทนใช้แทนแก๊สหุงต้มได้ และเมื่อบวกกับพลังเตาอั้งโล่ที่ใช้กะลาเหลือทิ้งมาเป็นถ่าน ทำให้จากเดิมที่เคยจ่ายเงินซื้อแก๊สหุงต้มถึง 6 ถังต่อเดือน เหลือเพียงการใช้ก๊าซหมักชีวภาพแค่หนึ่งถังเท่านั้น แถมใช้ได้นาน 5-6 เดือน ช่วยลดรายจ่าย มีกำไรมากขึ้น ไม่นับรวมน้ำหมักชีวภาพที่นำมาใช้รดผักสวนครัวหลังบ้าน ทำให้ได้ผักสดสะอาดและปลอดสารพิษไว้บริโภคอีกด้วย
เช่นเดียวกับบ้านของ นายซาการียา หมัดเลียด อาชีพเกษตรกร ที่นอกจากหมักขยะเศษอาหารเพื่อทำก๊าซชีวภาพเช่นเดียวกับนายบังหลี – อาหลี แล้ว ยังใช้เศษอาหารและขยะที่ย่อยสลายง่าย หมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ในสวนของตนเอง ไม่ต้องง้อปุ๋ยคอกที่ต้องจ่ายเงินซื้อและมีราคาแพงอย่างเคย ซึ่งเป็นเวลากว่า 4 ปีมาแล้ว ที่นายซาการียาบอกว่า เขาไม่ต้องเสียเงินซื้อปุ๋ยคอกมาใช้ในสวนเหมือนกับเกษตรกรคนอื่นๆ ไม่นับรวมการทำน้ำยาอเนกประสงค์จากเศษผลไม้ที่เป็นขยะเหลือทิ้ง เพื่อใช้ในครัวเรือน ไม่ว่าจะล้างจาน ซักผ้า และล้างห้องน้ำฯแถมยังแบ่งแจกจ่ายไปให้เพื่อนบ้านได้ใช้อีกด้วย
“น้ำยาอเนกประสงค์ที่ทำใช้เองในบ้าน นอกจากประหยัด ไม่ต้องซื้อแล้ว ยังส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อมเพราะน้ำยาที่ทำขึ้นนี้ มาจากเศษสิ่งธรรมชาติ เมื่อนำมาชะล้างสิ่งต่างๆ ในครัวเรือน น้ำที่ชะล้างไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง นอกจากจะไม่มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อนที่จะกลับมาสู่ตัวเรา ชุมชน และสัตว์ต่างๆ แล้ว ยังดีต่อดิน ใบไม้ ใบหญ้า และสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก”นายซาการียา บอก
นอกจากรูปแบบการจัดการขยะที่เริ่มต้นที่บ้านแล้วเทศบาลตำบลปริก ยังมี “โรงผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์” ที่นำเศษขยะอินทรีย์ ที่เล็ดลอดจากการคัดแยกขยะตามบ้าน มาหมักเป็นปุ๋ยและน้ำหมักเพื่อใช้ในชุมชนโดยรวม เรียกได้ว่าเป็นด่านที่สองของการคัดแยกขยะเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ส่งผลให้ปริมาณขยะในชุมชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับในส่วนของขยะที่สามารถรีไซเคิลได้นั้นเทศบาลตำบลปริกยังมีโครงการ “ธนาคารขยะ” ดำเนินการดูแลโดยกลุ่มเยาวชน จากแนวคิด “เปลี่ยนขยะเป็นเงิน”ด้วยการใช้รูปแบบเดียวกับร้านรับซื้อของเก่า มีการคัดแยกประเภทขยะ อย่างกระดาษปกแข็ง กระดาษสมุดพลาสติก และขวดแก้ว ตามราคารับซื้อ เพื่อนำไปขายต่อให้กับร้านรับซื้อของเก่าในเมือง และเงินที่ได้จะกลับมาเป็นเงินออมให้กับเด็กๆ และชาวบ้าน ซึ่งแต่ละคนจะมีสมุดบัญชีเงินฝาก สะสมเงินจากขยะที่นำมาขาย และสามารถเบิกถอนได้ เพียงแต่ต้องเหลือเงินไว้ร้อยละ 10 ของบัญชีเงินฝาก
น.ส.กัลสุดา อามีน หรือ “น้องตาร์” หนึ่งในผู้ดูแลธนาคารขยะบอกว่า การช่วยงานที่ธนาคารขยะแห่งนี้นอกจากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ขยะกลับมามีค่า และลดปริมาณขยะในชุมชนแล้ว ยังเป็นการฝึกความรับผิดชอบจากที่เคยเที่ยวเล่นไปวันๆ ทำให้ได้มาทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพราะในทุกเย็นวันศุกร์ เวลา 16.00-18.00 น.จะเป็นเวลาทำงาน โดยธนาคารขยะแห่งนี้จะเปิดรับซื้อขยะที่มีผู้นำมาขายและนำไปจัดการ ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
สอดคล้องกับ “โครงการจัดเก็บขยะ ด้วยจักรยาน”ของทางตำบลบ้านหาดสองแคว อำเภอตรอน จังหวัด อุตรดิตถ์ ตำบลศูนย์เรียนรู้สุขภาวะชุมชน สนับสนุนโดยสสส. ซึ่งได้ดำเนินโครงการต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ทางตรงทำให้ชุมชนสะอาดแต่ยังได้ประโยชน์ทางอ้อม เพราะทำให้เด็กๆ ในชุมชนได้ออกกำลังกายสร้างสุขภาพแข็งแรงซ้ำยังเป็นการใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดเรียน เสาร์ – อาทิตย์ ให้เกิดประโยชน์ ไม่ไปมั่วสุมยาเสพติด แหล่งอบายมุข จนกลายเป็นปัญหาสังคมตามมา
นายพงษ์เทพ ชัยอ่อน นายกอบต.สองแคว เล่าว่าแรกเริ่มขยะในหมู่บ้าน โดยเฉพาะตามริมถนนจะเยอะมากมีทั้งถุงพลาสติก ขวดน้ำ กระป๋องเครื่องดื่ม ส่วนใหญ่เกิดจากคนนอกหมู่บ้านที่เดินทางไปมาโยนทิ้งไว้ ซึ่งเกรงว่าหากปล่อยไปแบบนี้ ขยะคงเพิ่มล้นหมู่บ้าน จึงระดมสมองชาวชุมชนว่าจะทำอย่างไร
“จากที่เห็นเด็กๆ ในหมู่บ้านชอบปั่นจักรยานเที่ยวเล่นกันทุกวัน จึงเกิดไอเดียบรรเจิดว่า น่าจะพ่วงการจัดเก็บขยะเข้าไปด้วย โดยจัดตั้งเป็น ชมรมจักรยานสานฝันหากเห็นขยะที่ไหนก็เก็บขยะที่นั่น และทาง อบต.จะเป็นผู้รับซื้อขยะเหล่านั้น ถ้าเป็นขยะพลาสติก ถุงพลาสติก คิดให้กิโลกรัมละ 10 บาท แต่ถ้าเป็นกระป๋องน้ำดื่ม น้ำอัดลม จะอยู่ที่ใบละ 50 สตางค์”
นายพงษ์เทพกล่าวและว่า กิจกรรมนี้นอกจากเด็กๆจะได้ปั่นจักรยานสนุกแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้ช่วยครอบครัว ทั้งยังมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน ที่นำมาซึ่งความภูมิใจในหน้าที่ของตนเองขณะเดียวกันชุมชนเองก็ได้ประโยชน์
นายพงษ์เทพบอกต่อว่า วันนี้สมาชิกชมรมไม่ได้มีเฉพาะเด็กๆ อย่างในอดีตแล้ว แต่มีพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ เข้าร่วม จากเดิมที่มีสมาชิกเพียงแค่ 150 คน ได้ขยายไปถึง 300 คนแล้ว ทั้งยังกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความรักความอบอุ่นภายในครอบครัวร่วมกัน
นวัตกรรมชุมชนในด้านการจัดการขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้ง 2 แห่งข้างต้น เป็นเพียงแค่ตัวอย่างรูปแบบการจัดการปัญหาขยะที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และหลายพื้นที่สามารถหาวิธีดำเนินการที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ๆ อย่างกทม. ที่กำลังเผชิญปัญหาขยะอยู่ในขณะนี้
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า