“ดร.เอนก” เสนอโมเดล “สาธารณนิยม” แบ่งอำนาจรัฐ-ปชช.

สสส.ผนึกพลังภาคี จัดประชุม “ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย” ผู้นำชุมชน-ท้องถิ่น ตบเท้าเข้าร่วมกว่า 1,500 คน “ดร.เอนก” ชำแหละอุปสรรคขวางการพัฒนาประชาธิปไตยไทย เสนอโมเดล “สาธารณนิยม” แบ่งอำนาจรัฐ-ปชช. สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชน เปิดเวทีถกบทบาทชุมชน- ท้องถิ่น “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อม” ชี้ถึงเวลาผู้นำต้องเปลี่ยนแปลง


ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์
 
ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดการประชุมวิชาการ “ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่น สู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 1-3 มี.ค. โดยมีผู้บริหารส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกว่า 1,500 คน


ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “แปรถิ่น เปลี่ยนฐาน สร้างการปกครองท้องถิ่น” ว่า อุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไทย คือ ความคิดว่า ประชาธิปไตยมีระดับเดียว ทั้งที่ความจริงประชาธิปไตยไทย แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ 1.ระดับชุมชน เป็นฐานรากของสามเหลี่ยม 2. ระดับท้องถิ่น เป็นฐานกลาง และ 3.ระดับชาติ เป็นส่วนยอดของสามเหลี่ยม โดยรูปแบบประชาธิปไตยทั้ง 3 ระดับต้องมีความแตกต่าง ไม่เลียนแบบกัน  ซึ่งประชาธิปไตยระดับชุมชนเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ต้องเป็นโรงเรียนฝึกพลเมือง และทำให้รู้สึกเป็นเจ้าของนโยบาย ไม่ฝากอำนาจไว้กับผู้นำเท่านั้น เพราะหัวใจของประชาธิปไตย อำนาจและความรับผิดชอบต้องเป็นของประชาชนโดยตรง สังคมสำคัญกว่ารัฐ แต่ขณะนี้ประชาธิปไตยไทย เป็นเพียงประชาธิปไตยทางอ้อมที่ประชาชนไปลงคะแนนเลือกผู้แทนเข้าไปใช้อำนาจ ซึ่งต้องเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยทางตรง คือการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนา และระดมทรัพยากร เพื่อแก้ปัญหา


“ผมขอเสนอแนวคิดสาธารณนิยม คือ ประชาธิปไตยที่อำนาจไม่ได้อยู่ในมือรัฐ หรือผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมด แต่ท้องถิ่นและสังคม แบ่งอำนาจสาธารณะ คือ การดูแลความปลอดภัย สังคมสงเคราะห์ การศึกษา สิ่งแวดล้อม ให้ชุมชนสามารถเข้ามาจัดการได้ รัฐไม่จำเป็นต้องผูกขาดอำนาจอธิปไตย และไม่ใช่ผู้ที่อยู่สูงกว่า แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจเสมอกัน โดยรัฐทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เป็นตามนโยบาย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เชื่อว่า จะเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นและระดับชุมชน คือ ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วม เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการ และไม่โกงกิน เกิดจิตสาธารณะ” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว


รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวในการอภิปราย “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยชุมชนท้องถิ่นได้อย่างไร” ว่า การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่สำคัญที่สุดคือการให้คนในพื้นที่เป็นผู้แก้ปัญหาเอง กระจายอำนาจการตัดสินใจ ให้อำนาจการแก้ปัญหาไปไว้ที่ปัญหา ทั้งการกระจายสู่ชุมชนท้องถิ่น และ อปท.เป็นทางเดียวกัน วันนี้ความรู้สึกขององค์กรประชาชนและองค์กรท้องถิ่นบางพื้นที่มองว่าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่จากประสบการณ์พบว่าการกระจายอำนาจไปสู่ อปท.และการทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น คือการปรับเปลี่ยนให้มีพื้นที่ยืนร่วมกัน ต้องยอมรับว่าองค์กรท้องถิ่นเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบทางการเมือง อย่างไรก็ตามการสร้างสุขภาวะที่ดีในชุมชนจะเกิดขึ้นได้ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดในหลายเรื่อง อาทิ การสร้างเอกภาพทางความคิดในพื้นที่ , ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ , การนำหลักปรัชญาความพอเพียงมาใช้ คือการเมืองที่พอเพียง เป็นการทำการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม , การมีกระบวนการของการจัดการการเรียนรู้ ขณะที่ภาครัฐเองต้องกำหนดนโยบายที่เกิดประโยชน์และเอื้ออำนวยต่อท้องถิ่น


นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวว่า การพัฒนาท้องถิ่นต้องอาศัยความกล้าของผู้นำที่จะบอกความจริงกับประชาชนให้ได้รับทราบข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการจัดสรรจำกัด ตนจะชี้แจงให้ชาวบ้านได้รับทราบตลอด จนเกิดความเห็นใจ ขณะเดียวกันก็เปิดเวทีให้มีการติดตามตรวจสอบ ดังนั้นเมื่อชาวบ้านต้องการทำอะไรก็ไม่อยากรบกวนเทศบาล แต่ไปลงขันกันทำเอง ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเทศบาล เหมือนสามีภรรยา แต่หากผู้บริหารท้องถิ่นมัวแต่หมกเม็ด ปกปิด ก็จะยิ่งเหนื่อย นอกจากนั้นตนให้ความสำคัญกับการสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ โดยกำหนดในหลักสูตรการศึกษาใช้วัฒนธรรมเป็นตัวตั้ง ให้เด็กเรียนรู้ เข้าใจบทบาทหน้าที่ของท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นนามธรรมที่วัดยาก แต่หากผู้นำยังมัวคิดถึงแต่คะแนนเสียงก็คงไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้


 


 


ที่มา : สำนักข่าว สสส.

Shares:
QR Code :
QR Code