‘จิตปัญญา’สร้างองค์กรแห่งความสุข
แนะองค์กรใช้หลัก “จิตปัญญา” แม้ต่างวัยก็สามารถร่วมงานได้อย่างเป็นสุข
การเปลี่ยนแปลงของสังคม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนแปลงไป และปัญหาโรคภัยไข้เจ็บจากการทำงาน ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้องค์กรหลายแห่งกำลังประสบปัญหาในการบริหารคนในองค์กร ทั้งการเจ็บป่วยของคนทำงาน ปัญหาที่มาจากครอบครัวของคนทำงาน ปัญหาการทำงาน ร่วมกันของคนสองยุค รวมถึงการไหลออก ของคนทำงานในองค์กร ปัจจัยเหล่านี้ส่งผล ต่อการเจริญเติบโตขององค์กรทั้งสิ้น
นพ.ชาญวิทย์ วสันตะนารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บอกว่า สสส. เห็นการเปลี่ยนแปลง ของวิถีชีวิตคนในสังคม องค์กรใดไม่ออกแบบการบริหารงานใหม่ ยังใช้แนวทางบริหารงานที่ออกแบบไว้เมื่อ 50-60 ปีก่อนจะลำบาก ไม่นานมานี้จึงเริ่มต้นศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เพื่อหาเครื่องมือวัดความสุขของคนในองค์กรและนำไปสู่โครงการรณรงค์ ส่งเสริมที่ชัดเจนในอนาคต
ประเด็นหลักที่สังเคราะห์ออกมาตามสถานการณ์ที่เห็น คือ โรคภัยไข้เจ็บที่มากขึ้น อันเป็นผลจากการทำงาน ผลักดันให้คนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมไปถึงผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้คนวัยทำงานมีภาระในการดูแลพ่อแม่ด้วย
รวมไปถึงกรณีปัญหาจากคนสองรุ่นในที่ทำงานเดียวกัน และอาจอยู่ในทีมที่ต้อง ทำงานด้วยกัน คนเจนเอ็กซ์ (generation X) อายุราว 30 ปีขึ้นไป กับเจนวาย (generation Y) อายุ 20-30 ปี สองรุ่นนี้มีวิถีชีวิตคนละแบบกัน แต่อยู่ในองค์กรเดียวกัน และต่างเป็นวัยทำงานที่เป็นหลักในการขับเคลื่อนองค์กร
แตกต่างกันอย่างไร นพ.ชาญวิทย์ ระบุว่า คนเจนเอ็กซ์มีชีวิตอยู่กับการทำงาน ทุ่มเทให้กับการทำงาน และมีความภักดีต่อองค์กรสูง ที่สำคัญมีอาชีพเดียว
ขณะที่คนเจนวาย มองว่าชีวิตและงาน เป็นเนื้อเดียวกัน ต้องไปด้วยกัน สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และหลายคนมองเห็นตัวอย่างของคนเจนเอ็กซ์ที่ทุ่มเทให้กับ การทำงาน จนมีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าทั้งในระหว่างทำงานและเมื่อเกษียณออกไปแล้ว
นอกจากนี้คนรุ่นนี้ยังต้องการประสบ ความสำเร็จจากการทำงาน และมีรายได้มากๆ ดังนั้นเขาจะต้องการเส้นทางการเติบโตในการทำงานที่ชัดเจน และต้องการเป็นซีอีโอตั้งแต่ อายุยังน้อย
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ จะเห็นคนเจนวายต้องการชีวิตที่สมดุลหมายถึง ทำงาน ไปพร้อมกับการดูแลตัวเอง และครอบครัว มีกิจกรรมต่างๆ เสริม เช่น เดินซื้อของ ออกกำลังกาย หรือสังสรรค์ และมีสถานที่ที่จะไปผ่อนคลายก่อนกลับเข้าบ้าน
ที่สำคัญมีหลายอาชีพในขณะเดียวกัน ทำงานในที่หนึ่ง แต่อีกด้านอาจมีธุรกิจ ส่วนตัวที่ต้องทำไปพร้อมกัน เช่น เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อคนสองรุ่นมาทำงานด้วยกัน จึงมักมีช่องว่าง และเกิดปัญหา ซึ่งวันนี้องค์กรของไทยและในหลายๆ ประเทศประสบปัญหาแล้ว
"ตอนนี้แต่ละองค์กรอาจเจอคนหลายบุคลิก และความคิดแตกต่างอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน และอาจอยู่ในทีมที่ต้องทำงาน ด้วยกัน"
นอกจากปัญหาในการทำงานแล้ว องค์กรที่ไม่สามารถตอบสนองวิถีชีวิตคนเจนวายได้ อาจทำให้เกิดปัญหาคนเปลี่ยนงานบ่อย เพราะเป็นองค์กรที่ไม่สามารถตอบสนอง วิถีชีวิตอย่างที่คนเจนวายต้องการได้
ดังนั้นหลายองค์กรเริ่มมองเห็นว่า เป็นปัญหา หากไม่ปรับเปลี่ยน แต่ หลายองค์กรยังยึดติดกับกรอบความคิดเดิม โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ที่อยู่มานาน มักจะออกแบบการบริหารงานแบบควบคุมคนเป็นหลัก คือ ต้องมีระบบบันทึกการเข้าออกงานอย่างชัดเจน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนของ หลายๆองค์กรมีหลายระดับ ระดับพื้นฐาน คือ การสร้างองค์กรให้น่าอยู่ เพื่อดึงคนไว้ แต่ยังเน้นระบบแบบควบคุมคน อีกระดับเป็น การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ให้ทำงานนอกสถานที่
สำหรับองค์กรที่ยืดหยุ่นสูง จะมุ่งที่ผลลัพธ์ของงานตามกรอบที่ตกลงไว้ ที่เหลือสามารถทำอะไรก็ได้ กลุ่มนี้จะ ไม่ได้นำประเด็นเวลาในการเข้าออกที่ทำงานมาเป็นตัวตั้ง แต่เปิดให้พนักงานทำอะไรก็ได้ แต่งานที่ตกลงไว้ต้องไม่เสียหาย
องค์กรเหล่านี้มักเป็นองค์กรที่ไม่ได้เอากำไรเป็นตัวตั้งเช่นเดียวกัน มีแนวคิดของกาย ใจ สังคม และจิตปัญญา ซึ่งมีหลายองค์กรกำลังทำอยู่ ส่วนใหญ่มักเป็นองค์กรเล็กๆ
ที่ผ่านมา สสส. จัดทำโครงการรณรงค์เรื่องสุขภาวะในองค์กร (Happy Workplace)วัตถุประสงค์เพื่อสร้างสุขให้เกิดขึ้นในองค์กร แต่ที่ผ่านมาเรามุ่งเน้นทำกิจกรรมในลักษณะที่จับต้องได้ทางกาย เป็นหลัก อาทิ ลดพุง ลดความเครียดในองค์กร ลดโรคไม่ติดต่อร้ายแรงหรือเอ็นซีดี ลดเหล้าบุหรี่ เป็นต้น
"สสส. มองว่าโรคจากการทำงานกำลังคุกคามคนวัยทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะคนทำงานในสำนักงาน หรืองานบริการที่ถูกมองข้ามไป และมักมองไม่เห็น โรคที่เกิดขึ้นจากการทำงาน อาทิ ความเครียด กล้ามเนื้อ จึงเริ่มรณรงค์เรื่องหลักๆ ข้างต้นเมื่อ 3-5 ปีก่อน"
แต่ปัจจุบัน ต้องการขยายในเรื่องจิตปัญญา (Spiritual mind) ให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยเริ่มต้นมุ่งรณรงค์ในโรงพยาบาลหลายแห่ง เพื่อให้ผู้ทำงานบริการทางการแพทย์มีจิตใจเป็นมนุษย์มากขึ้น
เป้าหมายหนึ่งของการสร้างสุขในให้เกิดขึ้นในองค์กร นอกจากงานบริการแล้ว องค์กรทั่วไปก็ต้องมีแนวคิดนี้เช่นเดียวกัน เพื่อให้องค์กรใส่ใจในคนทำงานมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวออกจากงานได้
หลายคนมีทุกข์จากการเป็นหนี้สิน สุดท้ายก็กระทบมาถึงการทำงาน และองค์กร ดังนั้นองค์กรต้องเข้าไปดูแล อย่างน้อยต้องปลูกฝั่งคนในองค์กรเรื่องวางแผนการใช้เงิน
นอกจากนี้ สสส. ยังรณรงค์ให้เกิด Work Life Balance หรือการสร้างสมดุลชีวิต และงานไปพร้อมกันด้วย
"เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้คนเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย คนทุกสาขาอาชีพทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เท่าเทียมกัน แม้แต่แม่บ้านก็ใช้สมาร์ทโฟนไม่ต่างจากผู้บริหาร"
ดังนั้น องค์กรที่สามารถตอบสนองวิถีชีวิตคน ที่เปลี่ยนไปได้ มีความยึดหยุ่นในการทำงาน จะเป็นองค์กรที่ดึงดูดคนเก่งๆให้มาทำงานด้วย แต่หากไม่ตอบสนองก็จะไม่สามารถดึงดูด หรือรักษาคนไว้ได้
ดังนั้นองค์กรต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และปรับองค์กรใหม่
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต