จับตาการใช้ยาของคนไทย
ใช้ยานอกในอัตราสูง
เกือบจะเรียกได้ว่า “การกินยาจนเป็นนิสัย” เป็นค่านิยมอย่างหนึ่งของคนไทยรุ่นใหม่ แบบว่า “เป็นอะไรนิด อะไรหน่อยก็คว้าหายามากิน”
นักวิชาการทางด้านเภสัช เผยยอดมูลค่าตัวเลขที่คนไทยนำเข้ายามาจากต่างประเทศว่ามีเพิ่มถึง 38,000 ล้าน ทำให้ต้องจับตามองเพื่อหาเหตุผลกันว่า เหตุใดคนไทยจึงนิยมใช้ยานอกที่มาจากต่างประเทศมากกว่าการจะใช้ยาที่ผลิตขึ้นเองภายในประเทศ ทั้งนี้ นักวิจัยมีความเชื่อว่าการที่คนไทยนิยมใช้ยารักษาโรคที่มาจากต่างประเทศมากกว่าจะใช้ยาที่ผลิตขึ้นเองภายในประเทศ เพราะเหตุที่มีความเชื่อว่ายานอกรักษาโรคได้มีประสิทธิภาพดีกว่ายาไทย…ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดๆส่งผลให้ยานอกเกิดการผูกขาดและมีการปรับราคาสูงขึ้นความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นกับคนไทยทั้งประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องนี้นักวิชาการทางด้านยารักษาโรคได้ช่วยกันที่จะ ชี้แนะให้ภาครัฐหันมาส่งเสริมการใช้ชื่อยาสามัญในบัญชีหลักยกระดับสมุนไพรทางเลือกให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสังคมไทยอย่างจริงจัง
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่อาคารจุฬานฤมิตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม (มภส) แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการเสวนา พูดถึงเรื่องนี้กันในหัวข้อที่เรื่อง “นโยบายแห่งชาติด้านยา : ทิศทางการพึ่งตนเองด้านยาของประเทศ”
ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ยาในประเทศสวนกระแสกับนโยบายแห่งชาติเรื่องการพึ่งตนเองด้านยาของประเทศเป็นอย่างมาก เห็นได้จากมูลค่าการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่ยังสูงมากและจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบว่าในปี 2544 มูลค่าการนำเข้ายาแผนปัจจุบันอยู่ที่ 19,968 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46% ส่วนมูลค่าการผลิตยาในประเทศอยู่ที่ 23,088 ล้านบาท หรือ 59% ขณะที่ในปี 2548 มูลค่าการนำเข้ายาแผนปัจจุบันสูงขึ้นถึง 38,293 ล้านบาท หรือ 56% แต่มูลค่าการผลิตยาในประเทศอยู่ที่ 29,088 ล้านบาท หรือ 43% เนื่องจากคนไทยเชื่อว่าการรักษาด้วยยาจากต่างประเทศจะดีกว่ายาที่ผลิตในประเทศไทย และในปัจจุบันยังไม่มีกลไกควบคุมราคายาที่ชัดเจน ทำให้ยาบางตัวที่ผูกขาดปรับราคาสูงขึ้นซึ่งยาบางตัวที่นำเข้ามาขายในประเทศไทย ยังมีราคาแพงกว่าในประเทศอังกฤษ
“แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์จะออกมาประกาศให้มีมาตรฐานการควบคุมราคายา แต่ยังมียาที่มีราคาแพง เพราะขาดมาตรฐานในการกำหนดราคายา ดังนั้น หากมีนโยบายเรื่องการพึ่งพาตัวเองด้านยาด้วยการกระตุ้นหรือส่งเสริมการใช้ยาชื่อสามัญที่มีอยู่ในบัญชียาหลัก การส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศตลอดจนเรื่องการสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรก็จะช่วยให้คนไทยไม่ต้องบริโภคยาแพงและลดการพึ่งพิงยาจากต่างประเทศ”ผศ.ดร.ภญ.นิยดา กล่าว
นพ.ประพจน์ เภตรากาศ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข สาขาพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ด้านการใช้ยาสมุนไพรในประเทศไทย ในปี 2553 อยู่ที่ 100-200 ล้านครั้ง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3-5 เท่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีการผลิตและใช้อยู่ 3 ระดับคือ 1.ระดับชุมชน ที่มีการปลูกและผลิตเพื่อใช้ในครัวเรือน 2.ระดับบริการของรัฐในโรงพยาบาลชุมชนที่ใช้ยาสมุนไพรกับผู้ป่วยซึ่งขณะนี้มีทั้งสิ้น 88 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยที่เปิดการเรียนการสอนแล้ว 10 แห่ง และ 3.ระดับอุตสาหกรรม มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก 986 แห่ง ที่ผลิตยาสมุนไพร แต่มีเพียง 25 แห่งเท่านั้นที่ได้มาตรฐาน
“แม้ว่าระดับการใช้ยาสมุนไพรจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าการใช้ยาแผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยานำเข้ายังต่างกันมาก เพราะมีมูลค่าที่สูงและปริมาณการใช้ที่สูงกว่า ในอนาคตยาสมุนไพรไทยจึงต้องปรับตัวให้ได้มาตรฐาน และเมื่อมีข้อตกลงระดับอาเซียนทำให้การผลิตยาจะต้องได้มาตรฐาน GMP ในการส่งออกยาสมุนไพรนอกประเทศ เพื่อให้ยาสมุนไพรที่จะขายทั้งในและนอกประเทศจะต้องได้รับมาตรฐานจะต้องมีมาตรฐานการผลิตไม่มีสารปนเปื้อน” นพ.ประพจน์ กล่าว
น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานโครงการร่วมระหว่างฝ่ายรณรงค์เข้าถึงยาจำเป็นองค์การหมอไร้พรมแดน กล่าวว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมยาจะไม่ใช่อุตสาหกรรมหลักที่ทำรายได้ให้กับประเทศ แต่จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลเรื่องยา มิฉะนั้นประเทศจะตกอยู่ในกำมือของบริษัทยาข้ามชาติ จึงควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เลือกยาเข้าระบบให้เหมาะสมอย่างคุ้มค่าทั้งในเชิงประสิทธิภาพและเศรษฐกิจ
จากแนวคิดต่างๆ ของนักวิชาการ ในงานเสวนา สรุปรวมได้ว่า ในภาวะที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยโรคและผลผลิตทางด้านยารักษาโรคก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเทคนิควิทยาการทันสมัย เช่นทุกวันนี้ ทั้งผู้ผลิตยาและผู้ใช้ยาล้วนแต่ต้องพึ่งพาเกี่ยวข้องกันอย่างชนิดที่ว่าไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ ภาครัฐ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศและประชากร จึงจำเป็นต้องรอบคอบมองไกลและคิดให้ลึกมากกว่าตาที่เห็นเพื่อจะได้ก้าวตามความเปลี่ยนแปลงได้ทันการและรู้เท่าถึงกลไกในแต่ละรูปแบบ
หวังว่า ไม่ว่าการเมือง การปกครองจะมีการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนขั้วอำนาจไปอย่างไร การเอาใจใส่เพื่อให้คนไทย ได้รับความเป็นธรรมในการบริโภคยารักษาโรคและการมีตัวยาที่มีประสิทธิภาพ ย่อมไม่ถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี
Update : 15-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร