ค่ายสร้างสุขดึงเด็กก้นกุฏิพัฒนาสังคม
วัยหนุ่มสาวถือเป็นช่วงชีวิตที่มีโอกาสดีมากในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และการออกค่ายเป็นกิจกรรมหนึ่งที่บ่งบอกถึงการทำงานเพื่อสังคม ด้วยการศึกษาในปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ด้านวุฒิปัญญาจากในหนังสือ ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีความเข้าใจโลกเพิ่มขึ้น
น.ส.วีรินทร์วดี สุนทรหงส์ ผู้จัดการโครงการค่ายอาสาพัฒนาสร้างเสริมสุขภาพ มูลนิธิโกมลคีมทอง กล่าวว่า จากการที่ทางมูลนิธิได้ดำเนินงานกิจกรรมค่ายสร้างสุขกับกลุ่มเยาวชนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศกระทั่งเข้าสู่ปีที่ 6 ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนและสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถือว่าโครงการมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สำหรับในปีนี้ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โครงการค่ายฯ ทั่วไป และโครงการค่ายฯ กิจกรรมต่อเนื่อง (ระยะยาว 1 ปี) ที่มีความละเอียดกว่า ทำงานหนักกว่า
นอกจากนี้ ยังมีโครงการต่อยอดสำหรับผู้ที่เคยออกค่ายมาแล้วเพิ่มเติมอีกด้วย งานค่ายจะมองจากวันนี้แล้วมุ่งไปที่ผลสำเร็จหรือความเปลี่ยนแปลงของน้องๆ ที่เข้าร่วมทันทีเลยคงไม่ได้ แต่ต้องมองเป็นระยะๆ ในปีนี้เราเริ่มติดต่อเยาวชนที่ผ่านค่ายเมื่อปี 53 ซึ่งจบการศึกษาแล้ว เพื่อดูว่าจะสามารถทำกิจกรรมพัฒนาสังคมร่วมกันได้อย่างไรบ้าง ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่ยังมีข้อจำกัดด้านเวลาซึ่งไม่มีช่วงปิดเทอมแล้ว
“เราจึงคิดว่าจะใช้เวลาที่มีในวันหยุดสั้นๆ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ที่วางแผนไว้ช่วงเดือนพฤษภาคมจะจัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนที่ จ.สมุทรปราการ เนื่องจากมีความเหมาะสมในด้านการเดินทาง ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนของกิจกรรมในครั้งต่อๆ ไป การทำเช่นนี้จะสามารถขยายเครือข่ายได้อีกด้วย เพราะจะเปิดโอกาสให้น้องๆ ชวนเพื่อนร่วมงาน ถ้าทำได้เราจะมีผู้เข้าร่วมที่หลากหลายอาชีพมาก” น.ส.วีรินทร์วดี กล่าว
ผจก.โครงการค่ายสร้างสุข กล่าวต่อว่า มีตัวอย่างผู้เข้าร่วมกิจกรรมจาก ม.กรุงเทพ เมื่อจบไปทำงานแล้วยังรวมกลุ่มเก็บเงินเดือนละ 300 บาท เพื่อนำไปทำกิจกรรมเล็กๆ ช่วยเหลือสังคม อาทิ การซ่อมบำรุงโต๊ะเรียนที่อาจมีความสามารถทำได้แค่ 5 ตัว แต่ถือเป็นจุดเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ความพยายามช่วยเหลือสังคมไม่ได้จางหายไป
ทั้งนี้ กิจกรรมค่ายในปีนี้มีผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมโครงการค่ายต่อเนื่องมีเพียง 16 โครงการจากที่ตั้งเป้าไว้ 20 โครงการ โดยตนมองว่าอาจเกิดจากความใหม่และความยาก เพราะการทำงานค่ายต่อเนื่องต้องมีแผนงานที่ชัดเจน อีกทั้งยังต้องหางบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เหล้า และบุหรี่ ซึ่งการดำเนินงานจะสิ้นสุดในเดือน ธ.ค.54 ขณะที่ค่ายทั่วไปมีผู้สมัครเข้าร่วมกว่า 120 โครงการ ซึ่งหลังจากคัดเลือกแล้วเหลือ 79 โครงการ จากที่ตั้งเป้าไว้ 80 โครงการ นับได้ว่าเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้คิดจริงทำจริง และที่สำคัญยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง