คุณภาพชีวิตแรงงาน ปัจจัยสำคัญการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
ประเทศไทยมีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านคุมา แรงงานจากภาคการเกษตรได้เปลี่ยนมาเป็นแรงงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการจำนวนมาก ปัจจุบันมีตัวเลขของแรงงานทั้งสองส่วนมากถึง 24 ล้านคนโดยเป็นแรงงานในระบบ 14 ล้านคน และเป็นแรงงานนอกระบบอีก 10 ล้านคน และหากนับรวมแรงงานในภาคการเกษตรอีก14 ล้านคนแล้ว ประเทศไทยมีแรงงานมากถึง 38 ล้านคน
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก แรงงานซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของระบบ จึงมีส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อน
ระบบเศรษฐกิจของไทยให้เจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน ประเทศที่มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานได้เป็นอย่างดี ก็เปรียบเสมือนการมีรากฐานทางเศรษฐกิจ ที่แข็งแรงและมั่นคงด้วย แต่หากถามว่าแรงงานเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและเพียงพอหรือไม่ คำตอบออกมาชัดเจนว่ายังมีช่องว่างที่ต้องปรับปรุงอีกมาก
ปัญหาสำคัญ ที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตแรงงานในประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา คือ ปัญหาด้านสุขภาพโดยเฉพาะปัญหาจากอันตรายและความเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งประเทศไทยยังขาดระบบการป้องกันและดูแลอย่างเหมาะสมและทั่วถึง ซึ่งเมื่อพูดถึงการดูแลกลุ่มแรงงาน รัฐมักให้ความสำคัญเฉพาะด้านรายได้และปากท้องเป็นหลัก โดยมักละเลยต่อปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานหรือที่เรียกอีกรวมๆ กันว่า “ปัญหาด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” จากการเก็บข้อมูลความเสี่ยงจากการทำงานของแรงงานไทย พบว่า ลักษณะท่าทางในการทำงานก่อให้เกิดความเสี่ยงมากที่สุด รองลงมาคือ
อุบัติเหตุจากการทำงาน การสัมผัสฝุ่น กลิ่น ควันจากที่ทำงาน การได้รับสารเคมีเป็นพิษ เป็นต้น ซึ่งหากปัญหานี้ไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอจะส่งผลบั่นทอนรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ขณะที่การผลักดันเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหานี้ ยังทำได้ไม่เต็มที่ เพราะยังขาดข้อมูลสำคัญในหลายๆ ด้าน สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปพร้อมกัน จึงต้องมีระบบเฝ้าระวังและระบบข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ
ประเด็นแรงงานเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะรับผิดชอบได้เพียงลำพัง ต้องอาศัยการทำงานร่วมมือกันกับหลายภาคส่วน ในลักษณะเครือข่าย ซึ่งเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน อันประกอบไปด้วยหลายภาคี อาทิคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายเกษตรกรพันธสัญญา สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มูลนิธิเพื่อนหญิง มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน มูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ชมรมเครือข่ายผู้ประกันตน เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และ สสส. ได้ประสานและทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กทม. ฯลฯ เพื่อร่วมกันพัฒนามาตรการและนโยบายที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานในหลายๆ ด้าน รวมถึงด้านอาชีวอนามัย และร่วมขับเคลื่อนให้เกิดรูปธรรมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่จริง
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน และภาครัฐ รวมถึงภาคการเมืองที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นความสำคัญของปัญหาด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของแรงงานทุกกลุ่มจึงได้ร่วมกันผลักดันการแก้ปัญหาเชิงนโยบายใน 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ การนำร่องจัดบริการอาชีวอนามัยเชิงรุกและเชิงรับ โดยการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดระบบการให้บริการอาชีวอนามัย ในพื้นที่ 4 เขต ครอบคลุม 20 จังหวัด เพื่อให้บริการแก่กลุ่มแรงงานในการตรวจสุขภาพทั่วไปก่อนการทำงานตรวจสุขภาพรายปี และการตรวจตามความเสี่ยงจากการทำงานการปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสมสำหรับนายจ้างและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสำหรับลูกจ้าง เพื่อลดความเสี่ยงลงทั้งนี้ คาดหวังว่าเมื่อประเมินผลการทำงานในพื้นที่นำร่องแล้ว จะได้ขยายผลไปยังทุกพื้นที่ต่อไปประเด็นที่สองคือ การดูแลสุขภาพแรงงานนอกระบบ โดยรัฐและแรงงานร่วมกันจ่าย โดยคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายเงินสมทบของแรงงานที่เข้าร่วม และออกแบบสิทธิประโยชน์การคุ้มครองใหม่ ซึ่งแนวทางนี้ ขับเคลื่อนโดยกลไก “คณะทำงานโครงการปฏิบัติการเร่งด่วนเพื่อหาทางช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ(Delivering People’s Priority Programe)” ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ และให้มีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นข่าวดีรับวันแรงงานแห่งชาติ ให้กับแรงงานนอกระบบโดยเฉพาะกลุ่มแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และหาบเร่แผงลอย ได้มีขวัญและกำลังใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น
สำหรับวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้ ยังคงมีงานสำคัญที่ต้องเร่งผลักดัน เพื่อให้กลุ่มแรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนและส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและบริการด้านสุขภาพความปลอดภัยในการทำงานและสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม ให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม
โดยในส่วนของแรงงานในระบบ ผลักดันการจัดตั้ง “สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน”ให้เป็นองค์กรอิสระตาม พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 โดยมุ่งหวังให้สถาบันแห่งนี้มีบทบาทส่งเสริม สนับสนุน และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และกลุ่มแรงงานเอง ในการพัฒนาระบบตรวจสอบและเฝ้าระวัง เพื่อนำไปสู่การลดความเสี่ยงและอันตรายจากการทำงาน ขณะเดียวกัน ยังเป็นการกระตุ้นให้สถานประกอบการต่างๆ มีการจัดการความเสี่ยง พัฒนาระบบเครื่องมือและสภาพแวดล้อม ที่ช่วยสร้างความปลอดภัยในการทำงานอย่างทั่วถึง แทนที่การรอให้เกิดปัญหาแล้วจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนเงินทดแทน ซึ่งไม่สามารถทดแทนสุขภาพที่สูญเสียไปแล้วให้กลับคืนมาได้
ในส่วนของแรงงานนอกระบบ สำนักงานประกันสังคม (สปส.)ได้เสนอ ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับแก้ไข) ให้ขยายการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ โดยมีการร่วมจ่ายจากรัฐ เพื่อขยายผลต่อจากนโยบายประชาภิวัฒน์ของรัฐบาล ให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มต่อไป ซึ่งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบทั้ง 3 วาระจากสภาผู้แทนฯแล้ว(เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554)
ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2554 นี้ ผมเชื่อว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานจะช่วยให้แรงงานไทยมีสุขภาพดี มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นสังคมที่น่าอยู่และมีระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน โดย ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์